เช็กสภาพบ้านหลังฝนตกหนักจุดเสี่ยงที่ต้องตรวจทันที เพื่อป้องกันความเสียหายระยะยาว
เช็กสภาพบ้านหลังฝนตกหนักจุดเสี่ยงที่ต้องตรวจทันที เพื่อป้องกันความเสียหายระยะยาว
ฝนตกหนักต่อเนื่องหลายวันสามารถทำให้บ้านเปลี่ยนสภาพได้โดยไม่ทันรู้ตัว ทั้งน้ำฝน ลมแรง ความชื้น และเศษวัสดุต่างๆ ที่ถูกพัดเข้ามา ล้วนสร้างผลกระทบทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น หากปล่อยปัญหาเล็กๆ ทิ้งไว้นาน อาจลุกลามจนเป็นงานซ่อมใหญ่ เช่น ผนังแตกร้าว เชื้อราขยายตัว พื้นบ้านบวม ระบบไฟฟ้ามีปัญหา หรือโครงสร้างบางส่วนเสื่อมเร็วกว่าปกติ
การตรวจเช็กทันทีหลังฝนหยุดคือวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันความเสียหายระยะยาว และช่วยให้บ้านกลับมาปลอดภัยเหมือนเดิม
1. ตรวจหลังคาและโครงสร้างหลังคา — จุดรับแรงฝนโดยตรงที่สุด
หลังคาเป็นด่านแรกที่รับแรงปะทะจากฝนและลมพายุ จึงเป็นจุดที่ควรเริ่มตรวจเป็นอันดับแรก เพราะหากมีจุดรั่วเพียงเล็กน้อย อาจทำให้น้ำซึมสะสมอยู่ภายในโดยไม่รู้ตัว
สิ่งที่ต้องตรวจอย่างละเอียด
กระเบื้องแตก ร้าว หรือยกตัวขึ้น
แผ่นหลังคาเบี้ยวหรือหลุดจากโครงหลังลมแรง
คราบน้ำซึมหรือวงน้ำบนเพดาน
ฉนวนกันความร้อนจับตัวเป็นก้อนเพราะความชื้น
โครงหลังคาเหล็กมีสนิม โดยเฉพาะบริเวณรอยเชื่อม
โครงไม้บวม ผุ หรือพบปลวกหลังบ้านอับชื้น
สัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม
ได้ยินเสียงหยดน้ำอยู่ในเพดาน
ฝ้าบวมเป็นวงจนโป่งนูน
กลิ่นอับในห้องชั้นบนแม้เปิดระบายอากาศ
จุดไฟส่องเพดานมีความชื้นผิดปกติ
วิธีแก้ไขเบื้องต้น
อุดรอยรั่วด้วยซิลิโคนหรือเทปอลูมิเนียม
เปลี่ยนแผ่นกระเบื้องหรือแผ่นหลังคาที่เสียหาย
หากฝ้าบวมให้ถอดออก ระบายความชื้นให้แห้ง
หากดูทรงหลังคาโก่งตัว ควรเรียกช่างตรวจโครงสร้างทันที
2. ตรวจรางน้ำ ท่อระบายน้ำ และระบบระบายน้ำรอบบ้าน
ระบบระบายน้ำที่อุดตันแม้เพียงเล็กน้อยสามารถทำให้น้ำไหลย้อนเข้าบ้านได้ ซึ่งมักนำไปสู่ผนังชื้น เชื้อรา และดินรอบบ้านทรุดตัว
ตรวจจุดต่อไปนี้อย่างละเอียด
เศษใบไม้ ดิน และขยะสะสมในรางน้ำ
น้ำล้นออกจากด้านข้างรางแทนการไหลลงท่อ
ท่อระบายน้ำไหลช้าหรือเสียง “กลั๊วะๆ”
ท่อพื้นห้องน้ำหรือซิงก์มีกลิ่นย้อนขึ้นมา
ปัญหาที่จะเกิดขึ้นหากไม่แก้ไข
ผนังพอง สีหลุดลอก
น้ำย้อนเข้าบ้านโดยไม่รู้ตัว
ดินรอบบ้านอ่อนตัวจนเกิดการทรุด
เป็นจุดเพาะยุงช่วงฤดูฝน
วิธีจัดการ
นำเศษใบไม้ออกจากรางน้ำ
ล้างท่อด้วยแรงดันน้ำ หรือใช้โซดาไฟสำหรับคราบมัน
ตรวจตะแกรงดักขยะว่าชำรุดหรือไม่
หากเป็นบ้านจัดสรร ควรตรวจทางระบายน้ำส่วนกลางด้วย
3. ตรวจผนังบ้านทั้งภายนอกและภายใน — จุดสะสมความชื้น
ผนังบ้านอาจเกิดรอยซึมแม้จะมองเห็นเพียงคราบจางๆ และเป็นจุดเริ่มต้นของเชื้อราที่เติบโตเร็วใน 24–48 ชั่วโมงหลังฝนตกหนัก
จุดที่ต้องสังเกต
สีพองตัวเป็นฟองอากาศ
ผนังแตะแล้วเย็นผิดปกติ
รอยแตกร้าวยาวจากบนลงล่าง
คราบดำ เชื้อรา หรือกลิ่นอับ
รอยซึมแนวขอบประตู–หน้าต่าง
ความเสียหายระยะยาว
เชื้อราอาจกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ
โครงสร้างผนังเสื่อมคุณภาพ
ค่าซ่อมสูงขึ้นหากปล่อยไว้นาน
วิธีแก้ไข
เปิดประตู–หน้าต่างเพื่อระบายความชื้น
ใช้พัดลมหรือเครื่องลดความชื้น
ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อราเฉพาะจุด
หากร้าวลึกควรให้ช่างอุดซ่อมและทาสีกันซึมใหม่
4. ตรวจพื้นบ้าน พื้นไม้ ลามิเนต และพื้นกระเบื้อง
พื้นชั้นล่างและพื้นไม้เป็นส่วนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำได้ง่ายที่สุด หากมีความชื้นอยู่ใต้พื้นอาจทำให้อุปกรณ์ยกตัวหรือเสื่อมเร็วกว่าปกติ
ควรตรวจอย่างละเอียด
พื้นไม้ยกตัวหรือบวม
ลามิเนตโก่งหรือบิดเบี้ยว
กระเบื้องที่มีเสียง “ก๊อกแก๊ก” เวลาย่ำ
พื้นเย็นชื้นผิดปกติ
เฟอร์นิเจอร์ไม้ติดพื้นมีเชื้อราเกาะ
วิธีป้องกันความเสียหายเพิ่ม
เช็ดน้ำให้แห้งทันทีและเปิดพัดลมเป่า 24–48 ชั่วโมง
หากพื้นบวมมากต้องถอดบางแผ่นเพื่อระบายอากาศ
ยกเฟอร์นิเจอร์ขึ้นจากพื้น
ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อราทำความสะอาดบริเวณที่ขึ้นรา
5. ระบบไฟฟ้า — จุดที่อันตรายที่สุดหลังฝนตกหนัก
ความชื้นสามารถเล็ดลอดเข้าระบบไฟฟ้า ทำให้เกิดไฟลัดวงจรหรือไฟรั่ว ซึ่งเป็นอันตรายที่สุดในบ้าน
จุดที่ต้องตรวจเป็นพิเศษ
ปลั๊ก สวิตช์ หรือเบรกเกอร์ที่ชื้นหรือมีรอยน้ำ
กลิ่นไหม้หรือเสียงซ่าเบาๆ
เบรกเกอร์ทริกบ่อยผิดปกติ
สายไฟรอบบ้านหย่อนหรือเปียกน้ำ
ข้อควรระวังอย่างเด็ดขาด
ห้ามสัมผัสปลั๊กหรือสวิตช์ที่เปียก
หากระดับน้ำท่วมเข้าบ้าน ให้ปิดเบรกเกอร์ทั้งหมด
เรียกช่างไฟตรวจระบบก่อนใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าอีกครั้ง
6. ระบบประปา น้ำดี–น้ำเสีย
ฝนตกหนักอาจทำให้แรงดันน้ำผิดปกติจนเกิดการรั่วหรือไหลย้อน
สิ่งที่ต้องตรวจ
ท่อน้ำห้องน้ำ–ซิงก์–เครื่องซักผ้า
จุดที่มีน้ำซึมจากแนวท่อ
กลิ่นน้ำทิ้งย้อน
น้ำขังบริเวณพื้นห้องน้ำแม้ท่อปกติ
วิธีแก้ไข
ตรวจและขันข้อต่อท่อให้แน่น
ล้างท่อและถังดักไขมัน
หากน้ำย้อนบ่อย ควรตรวจความลาดเอียงของระบบท่อ
7. พื้นที่รอบบ้าน ดิน สวน และทางเดินนอกอาคาร
ภายนอกบ้านได้รับผลโดยตรงจากน้ำและลม จึงสำคัญไม่แพ้พื้นที่ในบ้าน
ตรวจให้ละเอียด
ดินทรุดหรือแอ่งน้ำขังขนาดใหญ่
รั้วเอียงหรือขยับจากตำแหน่งเดิม
ทางเดินลื่นเพราะตะไคร่น้ำ
ต้นไม้ใหญ่เอน หรือล้มจากแรงลมพายุ
การดูแล
เติมดินในจุดทรุดและทำทางน้ำไหล
ล้างตะไคร่น้ำเพื่อลดการลื่นล้ม
ตัดแต่งกิ่งไม้ใหญ่ที่เสี่ยงต่อการล้มทับบ้าน
8. พื้นที่อับลม ห้องเก็บของ ใต้บันได
จุดเหล่านี้มักมีความชื้นสูงและกลายเป็นแหล่งสะสมเชื้อราได้ง่าย
ควรทำ
เปิดพื้นที่ให้ลมถ่ายเท
ใช้เครื่องลดความชื้นหรือถุงดูดความชื้น
ทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อรา
เช็กของเก็บสะสม เช่น ผ้า หนัง กระดาษ
9. แมลงและสัตว์เลื้อยคลานเข้าบ้าน
ฝนตกหนักทำให้สัตว์ต่างๆ หนีน้ำเข้ามาในบ้านเพื่อหาที่แห้งและปลอดภัย
จุดที่ควรตรวจ
ใต้โต๊ะ ใต้ตู้ มุมห้อง
ช่องว่างใต้ประตู
บริเวณท่อพื้นหรือท่อน้ำทิ้ง
ภาชนะต้นไม้ที่มีน้ำขัง
วิธีป้องกันและกำจัด
อุดช่องโหว่และปิดทางเข้าทุกจุด
เทน้ำขังออกให้หมดเพื่อตัดวงจรยุง
วางเจลไล่แมลงตามมุมอับ
หากพบงูหรือสัตว์อันตราย ให้รีบแจ้งกู้ภัยทันที
สรุป: ตรวจเร็ว ลดความเสี่ยง ซ่อมน้อยกว่า
การตรวจสภาพบ้านหลังฝนตกหนักจะช่วยป้องกันความเสียหายที่ลุกลามอย่างรวดเร็ว ลดค่าใช้จ่ายในการซ่อม และทำให้บ้านแข็งแรงปลอดภัยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหลังคา ผนัง พื้น ระบบไฟฟ้า หรือสภาพแวดล้อมรอบบ้าน ทุกจุดล้วนสำคัญ การซ่อมทันทีเมื่อพบปัญหาเล็กๆ คือวิธีที่ช่วยยืดอายุบ้านได้ดีที่สุดและทำให้พร้อมรับมือกับฤดูฝนครั้งถัดไปอย่างมั่นใจ
เลือกบ้านโครงการที่น่าสนใจติดต่อเรา : www.kudsanhome.com