ธนาคารดูอะไรบ้างในการประเมินสินเชื่อบ้าน?

ธนาคารดูอะไรบ้างในการประเมินสินเชื่อบ้าน?

ไขข้อสงสัยก่อนยื่นกู้ เพื่อให้ผ่านง่าย ไม่มีสะดุด

การซื้อบ้านไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม หรือคอนโด โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ซื้อจะต้องใช้การ ขอสินเชื่อจากธนาคาร เข้ามาช่วยในการผ่อนชำระเป็นระยะยาว ซึ่งถือเป็น “ขั้นตอนสำคัญ” ที่ต้องผ่านให้ได้ก่อนจึงจะได้เป็นเจ้าของบ้านอย่างสมบูรณ์

หลายคนที่กำลังจะยื่นกู้มักสงสัยว่า…

“ธนาคารเค้าดูอะไรบ้าง? เราเงินเดือนเท่านี้จะผ่านไหม?”
“มีหนี้บัตรเครดิตอยู่จะกระทบไหม?”
“ถ้าเป็นฟรีแลนซ์จะมีโอกาสกู้ผ่านหรือเปล่า?”

บทความนี้จะพาไป เจาะลึกว่า “ธนาคารใช้เกณฑ์อะไร” ในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อบ้าน และมีอะไรบ้างที่คุณควรเตรียมให้พร้อมเพื่อให้ผ่านได้ง่ายและรวดเร็ว


🏦 ธนาคารประเมินอะไรบ้างในการพิจารณาสินเชื่อบ้าน?

1. รายได้ของผู้กู้ (Income)

  • ดูจากรายได้สุทธิ หลังหักภาระต่าง ๆ แล้ว

  • เงินเดือนประจำ / รายรับประจำ / รายได้จากธุรกิจส่วนตัว

  • เอกสารที่ใช้: สลิปเงินเดือน, หนังสือรับรองเงินเดือน, Statement ย้อนหลัง 6 เดือน

  • กรณีอาชีพอิสระ: ต้องแสดงหลักฐานรายรับที่สม่ำเสมอ เช่น บัญชีรายรับ, บิล/ใบกำกับภาษี

✅ ธนาคารส่วนใหญ่อนุมัติวงเงินโดยคิดไม่เกิน 40–50% ของรายได้รวมต่อเดือนเป็นค่างวดผ่อนบ้าน


2. ภาระหนี้สินปัจจุบัน (Debt Obligation)

  • หนี้ที่มีอยู่แล้ว เช่น หนี้บัตรเครดิต, ผ่อนรถ, ผ่อนสินเชื่อส่วนบุคคล

  • หากมีหนี้มากอยู่แล้ว อาจถูกพิจารณาให้วงเงินน้อยลง หรือไม่อนุมัติ

  • ธนาคารจะตรวจสอบจากเครดิตบูโร และรายการเดินบัญชี

⚠️ ข้อนี้มักเป็น “สาเหตุอันดับต้น ๆ ที่ทำให้กู้ไม่ผ่าน” เพราะรายได้อาจพอ แต่ภาระหนี้เดิมหนักเกินไป


3. เครดิตบูโร (Credit Score)

  • ธนาคารจะเช็คว่า คุณมีประวัติการชำระหนี้อย่างไร

  • หากเคยค้างชำระ ล่าช้า หรือติดแบล็กลิสต์ในอดีต อาจส่งผลให้ถูกปฏิเสธ

  • แต่หากชำระดี มีวินัยในการจ่าย → คะแนนเครดิตดี → เพิ่มโอกาสผ่าน

📌 ควรตรวจสอบเครดิตบูโรของตัวเองล่วงหน้า (มีบริการเช็กออนไลน์) และเคลียร์หนี้ค้างให้เรียบร้อยก่อนยื่นกู้


4. มูลค่าหลักประกัน (บ้านหรือคอนโดที่จะซื้อ)

  • ธนาคารจะประเมินราคาบ้านโดยผู้เชี่ยวชาญ (Appraiser) ว่าตรงตามราคาขายจริงหรือไม่

  • ส่วนใหญ่อนุมัติวงเงินตาม มูลค่าประเมิน ไม่ใช่ราคาหน้าสัญญา

  • เช่น บ้านราคาขาย 3 ล้าน แต่มูลค่าประเมิน 2.7 ล้าน → อาจได้วงเงินไม่เต็ม

🏠 ควรสอบถามโครงการว่ามีการประเมินราคาจากธนาคารไหนบ้าง หรือใช้ราคาประเมินกรมที่ดินประกอบ


5. อายุผู้กู้

  • อายุผู้กู้ + ระยะเวลากู้ ไม่ควรเกิน 60–70 ปี (ขึ้นอยู่กับนโยบายธนาคาร)

  • เช่น หากคุณอายุ 45 ปี อาจกู้ได้ไม่เกิน 20–25 ปี

  • ผู้กู้อายุน้อยมีข้อได้เปรียบด้าน “ผ่อนระยะยาว → ค่างวดต่ำ”

🧑‍🤝‍🧑 หากอายุเกิน อาจใช้ “กู้ร่วม” กับบุตรหลาน เพื่อขยายระยะเวลาและเพิ่มวงเงินได้


6. การทำงานและสถานภาพอาชีพ

  • พนักงานประจำ = มีรายได้แน่นอน → ธนาคารให้ความมั่นใจ

  • เจ้าของกิจการ หรือฟรีแลนซ์ = ต้องมีเอกสารยืนยันรายได้แนบ เช่น ทะเบียนการค้า, รายรับบัญชีบริษัท

  • การมีงานมั่นคงในองค์กรขนาดใหญ่หรือราชการ มักเพิ่มโอกาสกู้ผ่าน


7. จำนวนเงินดาวน์ที่มี

  • ยิ่งคุณมีเงินดาวน์มาก (เช่น 20–30%) ธนาคารยิ่งมั่นใจในความสามารถในการผ่อนของคุณ

  • หากต้องการวงเงินกู้สูง (ใกล้ 100%) แต่ไม่มีเงินดาวน์เลย → โอกาสเสี่ยงที่จะไม่ผ่านสูงขึ้น

💡 แนะนำเตรียมเงินดาวน์ขั้นต่ำอย่างน้อย 10–20% เพื่อความมั่นใจในการอนุมัติ


✍️ เอกสารที่ควรเตรียมให้พร้อม

ผู้มีรายได้ประจำผู้ประกอบการ / อาชีพอิสระ
สำเนาบัตรประชาชน / ทะเบียนบ้านสำเนาบัตรประชาชน / ทะเบียนบ้าน
สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 3–6 เดือนทะเบียนพาณิชย์ หรือ Statement ธุรกิจ
หนังสือรับรองเงินเดือนรายงานบัญชีรับ–จ่าย หรือใบกำกับภาษี
Statement ย้อนหลัง 6 เดือนStatement ย้อนหลัง 12 เดือน
สำเนาสัญญาจะซื้อจะขายสำเนาสัญญาจะซื้อจะขาย

✅ สรุป: อยากให้ธนาคารอนุมัติสินเชื่อบ้าน “ต้องเตรียมให้ครบ 3 ด้าน”

  1. รายได้ชัดเจน – มีความมั่นคง

  2. ภาระหนี้ไม่หนัก – เครดิตดี

  3. เอกสารครบ – บ้านผ่านการประเมิน

การเตรียมความพร้อมก่อนยื่นกู้ไม่เพียงช่วยให้คุณผ่านง่ายขึ้น แต่ยังช่วยให้ได้วงเงินที่เหมาะสม และผ่อนสบายในระยะยาว
หากคุณวางแผนไว้ล่วงหน้า มีวินัยทางการเงิน และเลือกโครงการบ้านที่เหมาะกับกำลังผ่อนจริง ธนาคารก็พร้อมเปิดโอกาสให้คุณได้มีบ้านในฝันไม่ยากเลยครับ

เลือกบ้านโครงการที่น่าสนใจติดต่อเรา : www.kudsanhome.com

บ้านหลังแรกต้องรู้! 10 ขั้นตอนก่อนตัดสินใจซื้อ

บ้านหลังแรกต้องรู้! 10 ขั้นตอนก่อนตัดสินใจซื้อ

การซื้อ “บ้านหลังแรก” ถือเป็นหนึ่งในก้าวสำคัญของชีวิต เพราะนอกจากจะเป็นจุดเริ่มต้นของการมีทรัพย์สินที่มั่นคงแล้ว ยังเป็นภาระทางการเงินระยะยาวที่ต้องวางแผนอย่างรอบคอบ หากพลาดพลั้งเพียงเล็กน้อย อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตและการเงินในอนาคตได้ ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจซื้อบ้าน บทความนี้จะพาคุณไปดู 10 ขั้นตอนสำคัญที่มือใหม่ห้ามมองข้าม


ขั้นตอนที่ 1: ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน

ก่อนมองหาบ้าน ต้องรู้ก่อนว่า “เราต้องการบ้านไปเพื่ออะไร”
คำถามที่ควรถามตัวเอง ได้แก่:

  • ต้องการบ้านเพื่ออยู่อาศัยเอง หรือเพื่อปล่อยเช่า/เก็งกำไร?

  • ต้องการบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม หรือคอนโด?

  • บ้านควรอยู่ใกล้ที่ทำงาน โรงเรียนลูก หรือรถไฟฟ้า?

การมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยกรองตัวเลือกได้เร็วขึ้น และลดความเสี่ยงในการตัดสินใจผิดพลาด


ขั้นตอนที่ 2: ประเมินกำลังซื้อของตนเอง

รู้ราคาบ้านอย่างเดียวไม่พอ ต้องรู้ด้วยว่า “เราผ่อนได้แค่ไหน”
โดยทั่วไปธนาคารจะอนุมัติสินเชื่อให้ไม่เกิน 40% ของรายได้ต่อเดือน

ตัวอย่าง:
รายได้ 30,000 บาท/เดือน → ยอดผ่อนที่เหมาะสม = ไม่เกิน 12,000 บาท/เดือน

ค่าใช้จ่ายเบื้องต้นที่ควรเตรียม ได้แก่:

  • เงินดาวน์ (10–20% ของราคาบ้าน)

  • ค่าธรรมเนียมการโอน ภาษี

  • ค่าตกแต่ง เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า

  • เงินสำรองฉุกเฉิน (อย่างน้อย 3–6 เดือนของค่าผ่อน)


ขั้นตอนที่ 3: ตรวจสอบเครดิตและวงเงินกู้

ก่อนยื่นกู้ ควรเช็กเครดิตบูโรว่ามีประวัติค้างชำระหรือไม่
หากมีหนี้บัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคล ควรเคลียร์ให้เรียบร้อยก่อน เพื่อเพิ่มโอกาสผ่านการอนุมัติ

แนะนำให้ขอสินเชื่อแบบ Pre-Approve จากธนาคารก่อน เพื่อรู้วงเงินที่กู้ได้จริง จะได้เลือกบ้านในงบที่เหมาะสม


ขั้นตอนที่ 4: เลือกทำเลอย่างมีกลยุทธ์

ทำเลคือปัจจัยที่ส่งผลต่อทั้งคุณภาพชีวิตและมูลค่าบ้านในอนาคต ควรพิจารณา:

  • การเดินทางสะดวก ใกล้ถนนใหญ่ ทางด่วน หรือรถไฟฟ้า

  • ใกล้ที่ทำงาน โรงเรียน โรงพยาบาล และแหล่งชุมชน

  • ศักยภาพของพื้นที่ เช่น โครงการพัฒนารถไฟฟ้าสายใหม่

หลายคนพลาดเพราะเลือกบ้านราคาถูกแต่เดินทางลำบาก เสียทั้งเวลาและค่าเดินทางทุกวัน


ขั้นตอนที่ 5: เลือกประเภทบ้านให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์

เลือกแบบบ้านที่ตรงกับวิถีชีวิตของคุณ:

ประเภทบ้านข้อดีข้อจำกัด
บ้านเดี่ยวพื้นที่ใช้สอยเยอะ เป็นส่วนตัวสูงราคาสูง ดูแลมาก
ทาวน์โฮมราคาย่อมเยา เหมาะกับครอบครัวเล็กพื้นที่น้อย ผนังติดเพื่อนบ้าน
คอนโดอยู่ในเมือง ใกล้รถไฟฟ้า ราคาจับต้องได้พื้นที่จำกัด เสียงรบกวน ค่าส่วนกลาง

ขั้นตอนที่ 6: สำรวจโครงการและเปรียบเทียบ

อย่าเลือกบ้านจากโฆษณาหรือโปรโมชั่นเพียงอย่างเดียว ควรเข้าไปดูโครงการจริง และเปรียบเทียบ:

  • คุณภาพงานก่อสร้างและวัสดุ

  • การออกแบบพื้นที่ใช้สอย

  • ระบบรักษาความปลอดภัย

  • ค่าบำรุงรายเดือน

  • ชื่อเสียงของผู้พัฒนาโครงการ

  • บริการหลังการขาย (Maintenance / Warranty)


ขั้นตอนที่ 7: ตรวจสอบเอกสารให้รอบคอบ

ก่อนเซ็นสัญญา ควรขอเอกสารและตรวจสอบให้ครบ:

  • ใบอนุญาตก่อสร้าง

  • โฉนดหรือสิทธิการถือครอง

  • แบบบ้านจริงและพื้นที่ใช้สอย

  • เงื่อนไขการผ่อนชำระและการโอนกรรมสิทธิ์

  • สัญญาจะซื้อจะขาย (ควรอ่านทุกบรรทัดอย่างละเอียด)


ขั้นตอนที่ 8: ยื่นขอสินเชื่อบ้าน

เตรียมเอกสารให้พร้อมเมื่อยื่นกู้:

  • สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้าน

  • สลิปเงินเดือน หรือหนังสือรับรองรายได้

  • รายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน

  • เอกสารเกี่ยวกับบ้าน เช่น ใบเสนอราคาหรือสัญญาจะซื้อจะขาย

เทคนิค: ยื่นขอสินเชื่อกับหลายธนาคารเพื่อเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยและโปรโมชั่น


ขั้นตอนที่ 9: โอนกรรมสิทธิ์และตรวจรับบ้าน

เมื่อสินเชื่อผ่านแล้ว ต้องดำเนินการ 2 อย่าง:

1. ตรวจรับบ้าน

  • ตรวจสอบโครงสร้าง ผนัง พื้น สุขภัณฑ์ ระบบไฟฟ้า

  • ขอ checklist รายการตรวจรับบ้านจากโครงการ

2. โอนกรรมสิทธิ์

  • นัดโอนกรรมสิทธิ์ที่สำนักงานที่ดิน

  • ชำระเงินดาวน์และค่าธรรมเนียม

  • ธนาคารจะชำระส่วนที่เหลือให้กับผู้ขาย


ขั้นตอนที่ 10: วางแผนชีวิตและงบตกแต่ง

หลังจากกลายเป็นเจ้าของบ้านแล้ว ต้องเตรียม:

  • งบสำหรับตกแต่งและซื้อเฟอร์นิเจอร์

  • ค่าบำรุงรักษารายเดือน เช่น ค่าส่วนกลาง

  • ค่าน้ำ ค่าไฟ อินเทอร์เน็ต

  • เงินสำรองสำหรับเหตุฉุกเฉิน เช่น น้ำรั่ว ระบบไฟฟ้าชำรุด


สรุป: บ้านหลังแรก ต้องคิดให้ครบ

บ้านไม่ใช่แค่ “ที่อยู่” แต่คือ “ภาระผูกพันระยะยาว”
การตัดสินใจที่ดีต้องมีทั้งข้อมูลครบถ้วน การวางแผนการเงินอย่างรอบคอบ และการเปรียบเทียบอย่างละเอียด

หากคุณกำลังวางแผนจะมีบ้านหลังแรกในเร็ว ๆ นี้ หวังว่าบทความนี้จะเป็นคู่มือเริ่มต้นที่ทำให้คุณมั่นใจ และไม่พลาดสิ่งสำคัญในการตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิต

เลือกบ้านโครงการที่น่าสนใจติดต่อเรา : www.kudsanhome.com

เตรียมซื้อบ้านสำหรับคู่รัก – สร้างรังรักด้วยความเข้าใจและการวางแผน

สิทธิ์บ้านล้านหลัง ของ ธอส. คืออะไร? เหมาะกับใครบ้าง?

หลายคนฝันอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง แต่ก็มักติดเรื่อง “เงินเดือนน้อย กู้ไม่ผ่าน” หรือ “ราคาบ้านสูงเกินกำลังผ่อน”
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จึงได้ออกโครงการที่ชื่อว่า “บ้านล้านหลัง” ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการช่วยเหลือให้คนไทยมีบ้านในราคาที่จับต้องได้

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ สิทธิ์บ้านล้านหลัง อย่างละเอียด ว่าคืออะไร? ใครขอได้? เงื่อนไขเป็นยังไง? และเหมาะกับใครบ้าง?


✅ บ้านล้านหลัง คืออะไร?

“โครงการบ้านล้านหลัง” คือโครงการสินเชื่อจาก ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ที่สนับสนุนให้คนไทยมีบ้าน
โดยมีเป้าหมายให้คนมีรายได้น้อย หรือผู้เริ่มทำงานสามารถซื้อที่อยู่อาศัยได้ในราคาที่เหมาะสม
ด้วยวงเงินกู้ไม่สูงมาก (บ้านราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท) แต่ให้ ผ่อนนาน ดอกเบี้ยต่ำ


📌 วัตถุประสงค์ของโครงการ

  • ลดความเหลื่อมล้ำด้านที่อยู่อาศัย

  • สนับสนุนการมีบ้านหลังแรก

  • ช่วยคนที่ไม่เคยมีบ้านมาก่อน หรือยังไม่สามารถกู้ผ่านในระบบปกติ


💰 สิทธิ์และเงื่อนไขหลัก

รายละเอียดเงื่อนไข
วงเงินกู้ไม่เกิน 1.5 ล้านบาท
ระยะเวลาผ่อนสูงสุด 40 ปี
ดอกเบี้ยพิเศษต่ำสุด 3 ปีแรก เช่น 1.99% หรือ 3% ต่อปี (แล้วแต่ช่วงโครงการ)
รายได้ผู้กู้ส่วนใหญ่จำกัดไม่เกิน 25,000–30,000 บาท/เดือน
ผู้กู้ร่วมได้ได้ เพื่อเพิ่มวงเงินกู้
ต้องไม่เคยมีบ้านใช่ (บ้านหลังแรก)

⚠️ หมายเหตุ: เงื่อนไขอาจเปลี่ยนแปลงตามเฟสที่เปิดรับสมัคร เช่น บ้านล้านหลัง เฟส 2 เป็นต้น


🏡 ที่อยู่อาศัยที่เข้าร่วมโครงการได้

  • บ้านจัดสรร / ทาวน์โฮม / คอนโดมิเนียม ที่ราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท

  • ต้องเป็นบ้านใหม่ / บ้านมือสองที่ยังไม่โอน

  • อยู่ในโครงการที่ ธอส. หรือกรมที่ดินรับรอง


👥 ใครบ้างที่เหมาะกับสิทธิ์นี้?

  1. ผู้มีรายได้น้อย–ปานกลาง (ไม่เกิน 25,000–30,000 บาท/เดือน)

  2. พนักงานเริ่มต้นทำงาน หรือเพิ่งเริ่มเก็บเงิน

  3. ผู้ที่ยังไม่เคยมีบ้านมาก่อน (ซื้อบ้านหลังแรก)

  4. คนที่มีภาระผ่อนรถ / หนี้น้อย แต่ยังไม่ผ่านกู้ปกติ

  5. คู่รัก / ครอบครัวเล็กที่อยากเริ่มต้นมีบ้าน


📝 ต้องเตรียมอะไรบ้าง?

  • สำเนาบัตรประชาชน / สำเนาทะเบียนบ้าน

  • สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 3–6 เดือน หรือหนังสือรับรองรายได้

  • Statement ธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน

  • เอกสารแสดงทรัพย์ที่ต้องการซื้อ เช่น ใบจองบ้าน, สำเนาโฉนด


📌 วิธีสมัครใช้สิทธิ์

  1. ตรวจสอบช่วงเวลาเปิดโครงการ (ผ่านเว็บไซต์ ธอส. หรือเพจทางการ)

  2. เลือกบ้าน/โครงการที่เข้าเงื่อนไข

  3. เตรียมเอกสารและสมัครกู้กับ ธอส. โดยตรง

  4. รอผลอนุมัติ และนัดโอนกรรมสิทธิ์กับกรมที่ดิน


✅ ข้อดีของโครงการบ้านล้านหลัง

  • ดอกเบี้ยต่ำ ช่วยให้ผ่อนสบายในช่วงเริ่มต้น

  • วงเงินไม่สูงมาก เหมาะกับผู้เริ่มต้นมีภาระ

  • ไม่ต้องมีเงินเดือนสูงก็สามารถมีบ้านได้

  • ผ่อนได้นานถึง 40 ปี → ทำให้ค่างวดต่ำ


⚠️ ข้อควรระวัง

  • บ้านราคาไม่เกิน 1.5 ล้าน → ทำเลอาจอยู่ชานเมือง / ต่างจังหวัด

  • เงื่อนไขมีการปรับเปลี่ยนตามช่วงเวลา → ควรติดตามข่าวจาก ธอส.

  • ต้องวางแผนรายได้รายจ่ายให้ดี เพราะยังมีภาระค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าซ่อมแซม


🏁 สรุป

โครงการบ้านล้านหลังของ ธอส. เป็นทางเลือกที่ดีมากสำหรับผู้ที่อยากมีบ้านหลังแรกแต่มีรายได้จำกัด
ด้วยเงื่อนไขที่ผ่อนสบาย ดอกเบี้ยต่ำ และไม่ต้องใช้เงินเดือนสูง ก็สามารถกู้ซื้อบ้านได้

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากเริ่มต้นมีบ้าน ควรติดตามประกาศรอบใหม่ของโครงการนี้ไว้ เพราะอาจเป็น “โอกาสทอง” ที่ทำให้คุณได้มีบ้านสมใจในงบที่จับต้องได้จริง

เลือกบ้านโครงการที่น่าสนใจติดต่อเรา : www.kudsanhome.com

สิทธิ์บ้านล้านหลัง ของ ธอส. คืออะไร? เหมาะกับใครบ้าง?

สิทธิ์บ้านล้านหลัง ของ ธอส. คืออะไร? เหมาะกับใครบ้าง?

หลายคนฝันอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง แต่ก็มักติดเรื่อง “เงินเดือนน้อย กู้ไม่ผ่าน” หรือ “ราคาบ้านสูงเกินกำลังผ่อน”
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จึงได้ออกโครงการที่ชื่อว่า “บ้านล้านหลัง” ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการช่วยเหลือให้คนไทยมีบ้านในราคาที่จับต้องได้

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ สิทธิ์บ้านล้านหลัง อย่างละเอียด ว่าคืออะไร? ใครขอได้? เงื่อนไขเป็นยังไง? และเหมาะกับใครบ้าง?


✅ บ้านล้านหลัง คืออะไร?

“โครงการบ้านล้านหลัง” คือโครงการสินเชื่อจาก ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ที่สนับสนุนให้คนไทยมีบ้าน
โดยมีเป้าหมายให้คนมีรายได้น้อย หรือผู้เริ่มทำงานสามารถซื้อที่อยู่อาศัยได้ในราคาที่เหมาะสม
ด้วยวงเงินกู้ไม่สูงมาก (บ้านราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท) แต่ให้ ผ่อนนาน ดอกเบี้ยต่ำ


📌 วัตถุประสงค์ของโครงการ

  • ลดความเหลื่อมล้ำด้านที่อยู่อาศัย

  • สนับสนุนการมีบ้านหลังแรก

  • ช่วยคนที่ไม่เคยมีบ้านมาก่อน หรือยังไม่สามารถกู้ผ่านในระบบปกติ


💰 สิทธิ์และเงื่อนไขหลัก

รายละเอียดเงื่อนไข
วงเงินกู้ไม่เกิน 1.5 ล้านบาท
ระยะเวลาผ่อนสูงสุด 40 ปี
ดอกเบี้ยพิเศษต่ำสุด 3 ปีแรก เช่น 1.99% หรือ 3% ต่อปี (แล้วแต่ช่วงโครงการ)
รายได้ผู้กู้ส่วนใหญ่จำกัดไม่เกิน 25,000–30,000 บาท/เดือน
ผู้กู้ร่วมได้ได้ เพื่อเพิ่มวงเงินกู้
ต้องไม่เคยมีบ้านใช่ (บ้านหลังแรก)

⚠️ หมายเหตุ: เงื่อนไขอาจเปลี่ยนแปลงตามเฟสที่เปิดรับสมัคร เช่น บ้านล้านหลัง เฟส 2 เป็นต้น


🏡 ที่อยู่อาศัยที่เข้าร่วมโครงการได้

  • บ้านจัดสรร / ทาวน์โฮม / คอนโดมิเนียม ที่ราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท

  • ต้องเป็นบ้านใหม่ / บ้านมือสองที่ยังไม่โอน

  • อยู่ในโครงการที่ ธอส. หรือกรมที่ดินรับรอง


👥 ใครบ้างที่เหมาะกับสิทธิ์นี้?

  1. ผู้มีรายได้น้อย–ปานกลาง (ไม่เกิน 25,000–30,000 บาท/เดือน)

  2. พนักงานเริ่มต้นทำงาน หรือเพิ่งเริ่มเก็บเงิน

  3. ผู้ที่ยังไม่เคยมีบ้านมาก่อน (ซื้อบ้านหลังแรก)

  4. คนที่มีภาระผ่อนรถ / หนี้น้อย แต่ยังไม่ผ่านกู้ปกติ

  5. คู่รัก / ครอบครัวเล็กที่อยากเริ่มต้นมีบ้าน


📝 ต้องเตรียมอะไรบ้าง?

  • สำเนาบัตรประชาชน / สำเนาทะเบียนบ้าน

  • สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 3–6 เดือน หรือหนังสือรับรองรายได้

  • Statement ธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน

  • เอกสารแสดงทรัพย์ที่ต้องการซื้อ เช่น ใบจองบ้าน, สำเนาโฉนด


📌 วิธีสมัครใช้สิทธิ์

  1. ตรวจสอบช่วงเวลาเปิดโครงการ (ผ่านเว็บไซต์ ธอส. หรือเพจทางการ)

  2. เลือกบ้าน/โครงการที่เข้าเงื่อนไข

  3. เตรียมเอกสารและสมัครกู้กับ ธอส. โดยตรง

  4. รอผลอนุมัติ และนัดโอนกรรมสิทธิ์กับกรมที่ดิน


✅ ข้อดีของโครงการบ้านล้านหลัง

  • ดอกเบี้ยต่ำ ช่วยให้ผ่อนสบายในช่วงเริ่มต้น

  • วงเงินไม่สูงมาก เหมาะกับผู้เริ่มต้นมีภาระ

  • ไม่ต้องมีเงินเดือนสูงก็สามารถมีบ้านได้

  • ผ่อนได้นานถึง 40 ปี → ทำให้ค่างวดต่ำ


⚠️ ข้อควรระวัง

  • บ้านราคาไม่เกิน 1.5 ล้าน → ทำเลอาจอยู่ชานเมือง / ต่างจังหวัด

  • เงื่อนไขมีการปรับเปลี่ยนตามช่วงเวลา → ควรติดตามข่าวจาก ธอส.

  • ต้องวางแผนรายได้รายจ่ายให้ดี เพราะยังมีภาระค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าซ่อมแซม


🏁 สรุป

โครงการบ้านล้านหลังของ ธอส. เป็นทางเลือกที่ดีมากสำหรับผู้ที่อยากมีบ้านหลังแรกแต่มีรายได้จำกัด
ด้วยเงื่อนไขที่ผ่อนสบาย ดอกเบี้ยต่ำ และไม่ต้องใช้เงินเดือนสูง ก็สามารถกู้ซื้อบ้านได้

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากเริ่มต้นมีบ้าน ควรติดตามประกาศรอบใหม่ของโครงการนี้ไว้ เพราะอาจเป็น “โอกาสทอง” ที่ทำให้คุณได้มีบ้านสมใจในงบที่จับต้องได้จริง

เลือกบ้านโครงการที่น่าสนใจติดต่อเรา : www.kudsanhome.com

รู้จักดอกเบี้ยบ้าน MLR, MRR, Fix Rate – เลือกแบบไหนดี?

รู้จักดอกเบี้ยบ้าน MLR, MRR, Fix Rate – เลือกแบบไหนดี?

การขอสินเชื่อเพื่อซื้อบ้านไม่ใช่แค่การมองหา “วงเงินสูงสุด” เท่านั้น
แต่ “อัตราดอกเบี้ย” คือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สุดที่ส่งผลโดยตรงต่อยอดผ่อนรายเดือน และดอกเบี้ยสะสมตลอดอายุสัญญา

บทความนี้จะพาคุณทำความรู้จักกับคำว่า MRR, MLR, และ Fixed Rate
แต่ละแบบคืออะไร? ต่างกันอย่างไร? และแบบไหนเหมาะกับคุณที่สุด?


ดอกเบี้ยบ้านคืออะไร?

ดอกเบี้ยบ้าน คือ “ต้นทุนทางการเงิน” ที่ธนาคารคิดจากยอดเงินกู้
ซึ่งจะเป็นตัวกำหนด “ยอดผ่อนรายเดือน” และจำนวนดอกเบี้ยรวมที่คุณต้องจ่ายตลอดอายุสัญญา

ดอกเบี้ยบ้านมีหลายรูปแบบ ซึ่งแบ่งออกได้ 2 กลุ่มใหญ่:

  • Fixed Rate (ดอกเบี้ยคงที่)

  • Floating Rate (ดอกเบี้ยลอยตัว) ซึ่งมีทั้ง MLR และ MRR


Fixed Rate (ดอกเบี้ยคงที่)

คืออะไร?

เป็นดอกเบี้ยที่ตรึงไว้ในอัตราเดียว ตลอดระยะเวลาที่กำหนด (เช่น 3 ปีแรก)
แม้ตลาดจะขึ้นหรือลง ดอกเบี้ยของคุณก็ไม่เปลี่ยน

ข้อดี:

  • ผ่อนเท่ากันทุกเดือน ง่ายต่อการวางแผนงบ

  • เหมาะกับผู้เริ่มต้นมีภาระบ้าน

ข้อจำกัด:

  • หลังหมดช่วง Fixed Rate จะเข้าสู่ “ดอกเบี้ยลอยตัว” ซึ่งอาจสูงกว่าปกติ

  • ไม่สามารถลดดอกเบี้ยได้ตามภาวะตลาด


MLR (Minimum Loan Rate)

คืออะไร?

คือ อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (เช่น ลูกค้าธุรกิจ)
บางธนาคารใช้ MLR เป็นฐานอ้างอิงดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อบ้าน

เช่น:
ธนาคารอาจเสนอดอกเบี้ย “MLR -2%”
ถ้า MLR คือ 6.65% ดอกเบี้ยที่คุณได้จะเท่ากับ 4.65%

ข้อดี:

  • ถ้าเศรษฐกิจชะลอ ดอกเบี้ย MLR อาจลดลง ทำให้ผ่อนน้อยลงตาม

  • มักเสนอในช่วงหลังหมดโปร Fixed Rate


MRR (Minimum Retail Rate)

คืออะไร?

คือ อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำที่ใช้กับลูกค้ารายย่อยทั่วไป (บุคคลธรรมดา)
MRR มักจะสูงกว่า MLR เล็กน้อย เพราะถูกใช้กับสินเชื่อทั่วไป เช่น บัตรเครดิต, สินเชื่อบุคคล

ข้อดี:

  • ธนาคารหลายแห่งใช้อ้างอิงสินเชื่อบ้านเช่นกัน

  • มีความยืดหยุ่นและสามารถต่อรองได้

ข้อจำกัด:

  • อาจมีความผันผวนสูงกว่าระยะยาว

  • ต้องคอยติดตามว่า MRR ของธนาคารปรับเปลี่ยนเมื่อใด


เปรียบเทียบดอกเบี้ยทั้ง 3 แบบ

ประเภทดอกเบี้ยความแน่นอนเหมาะกับใครหมายเหตุ
Fixed Rateสูง (ไม่เปลี่ยนแปลง)คนที่อยากผ่อนแน่นอนในช่วงแรกมักใช้ใน 1–3 ปีแรก
MLRปานกลางลูกค้ากลุ่มธุรกิจหรือบ้านราคาสูงต้องติดตามค่าฐานของแต่ละธนาคาร
MRRต่ำกว่า MLR เล็กน้อยลูกค้ารายย่อยทั่วไปใช้เป็นฐานระยะยาวหลังหมด Fixed Rate

คำแนะนำ: เลือกแบบไหนดี?

  • ซื้อบ้านใหม่ ผ่อนระยะแรก
    → Fixed Rate 3 ปีแรก เหมาะสมที่สุด เพราะคุณสามารถวางแผนการเงินได้ง่าย

  • ต้องการลดภาระดอกเบี้ยระยะยาว
    → เลือกสินเชื่อที่มีเงื่อนไข “MLR -x%” หรือ “MRR -x%” ในปีที่ 4 เป็นต้นไป

  • หากคุณผ่อนหมดเร็ว (เช่น 3–5 ปี)
    → Fixed Rate ต่ำ ๆ คือทางเลือกดีที่สุด

  • ผ่อนระยะยาว 20–30 ปี
    → พิจารณาทั้ง Fixed ช่วงแรก + อัตราลอยตัวที่ต่อเนื่องสมเหตุสมผล


สรุป

การเลือกประเภทดอกเบี้ยบ้านไม่ใช่แค่ดู “ตัวเลขต่ำที่สุด”
แต่ต้องดูว่า แบบใดเหมาะกับพฤติกรรมการเงินและแผนผ่อนของคุณ

ขอแนะนำให้ปรึกษาเจ้าหน้าที่สินเชื่อหลายธนาคาร เพื่อเปรียบเทียบเงื่อนไข
และดูภาพรวม “ดอกเบี้ยเฉลี่ยทั้งสัญญา” ให้ชัดเจนก่อนตัดสินใจ

เลือกบ้านโครงการที่น่าสนใจติดต่อเรา : www.kudsanhome.com

ทำประกันบ้านหรือไม่? แบบไหนจำเป็นสำหรับผู้ซื้อบ้านใหม่

ทำประกันบ้านหรือไม่? แบบไหนจำเป็นสำหรับผู้ซื้อบ้านใหม่

สำหรับคนที่กำลังจะซื้อบ้านหลังแรก คำถามสำคัญหนึ่งที่มักเกิดขึ้นคือ
“จำเป็นต้องทำประกันบ้านหรือเปล่า?”
และ “ถ้าทำ ต้องทำประกันแบบไหนถึงจะคุ้มค่า?”

บ้านคือทรัพย์สินชิ้นใหญ่ที่มีมูลค่ามากที่สุดในชีวิตของหลายคน
การทำประกันบ้านจึงไม่ใช่แค่การ “ซื้อเพิ่ม” แต่เป็นการ “คุ้มครองการลงทุน” ที่คุณใช้เวลาหลายสิบปีในการผ่อน

ในบทความนี้เราจะพาคุณไปรู้จัก ประเภทของประกันบ้าน, ความจำเป็น, และ แนวทางเลือกประกันให้เหมาะกับคุณที่สุด


🧯 ประกันบ้านคืออะไร?

ประกันบ้าน หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า “ประกันอัคคีภัยที่อยู่อาศัย
คือประกันที่คุ้มครองทรัพย์สินประเภท “สิ่งปลูกสร้าง” เช่น บ้าน ทาวน์โฮม อาคารชุด จากความเสียหายที่เกิดขึ้นจากภัยต่าง ๆ

เช่น:

  • ไฟไหม้

  • ฟ้าผ่า

  • การระเบิด

  • ภัยธรรมชาติ (น้ำท่วม พายุ ฯลฯ)

  • โจรกรรม

  • แผ่นดินไหว (ในบางแผน)


❗ ทำไมผู้ซื้อบ้านใหม่ควรพิจารณาทำประกันบ้าน?

เหตุผลอธิบาย
🛠️ บ้านคือทรัพย์สินใหญ่หากบ้านเสียหาย คุณต้องรับภาระค่าซ่อมทั้งหมดด้วยตัวเอง หากไม่มีประกัน
🔥 เหตุไม่คาดฝันเกิดได้เสมอไฟไหม้ ไฟฟ้าลัดวงจร หรือโจรกรรม สามารถเกิดขึ้นได้แม้จะระมัดระวังแล้วก็ตาม
🏦 กรณีกู้ซื้อบ้านกับธนาคารธนาคารมัก “บังคับทำประกันอัคคีภัยขั้นต่ำ” เพื่อคุ้มครองมูลค่าบ้านที่เป็นหลักประกัน
💸 ช่วยลดภาระการเงินในอนาคตค่าเบี้ยหลักพัน–หมื่น แต่คุ้มครองหลักล้าน

🧾 ประกันบ้านมีกี่ประเภท?

1. ประกันอัคคีภัยพื้นฐาน (Fire Insurance)

  • คุ้มครอง: ไฟไหม้, ฟ้าผ่า, การระเบิดจากแก๊ส

  • บังคับทำ เมื่อคุณกู้ซื้อบ้านกับธนาคาร

  • 📆 ส่วนมากมีอายุ 1 ปี หรือแบบเหมาจ่ายตลอดอายุสัญญากู้

2. ประกันภัยทรัพย์สิน (Home Insurance แบบครอบคลุม)

  • คุ้มครองมากกว่าอัคคีภัย ได้แก่:

    • โจรกรรม

    • น้ำรั่วซึม

    • น้ำท่วม

    • พายุ / ลมแรง / แผ่นดินไหว

    • เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า

    • ความรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอก (เช่น ไฟจากบ้านเราทำบ้านคนอื่นไหม้)

  • ✅ ควรทำสำหรับคนที่ “แต่งบ้านแล้ว” หรือ “มีของมีค่าอยู่ในบ้าน”

3. ประกันภัยบ้าน+ทรัพย์สิน+ชีวิต

  • ผสมระหว่างประกันบ้านกับประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองคนผ่อน

  • หากเกิดเหตุเสียชีวิตก่อนผ่อนจบ บ้านจะถูกเคลียร์หนี้ให้ทายาท


📌 ทำประกันบ้านแบบไหนดี?

สถานการณ์ของคุณแนะนำประกันแบบไหน
กู้บ้านกับธนาคารทำประกันอัคคีภัยพื้นฐาน (บังคับ) + พิจารณาเพิ่มแบบครอบคลุม
ซื้อบ้านเงินสดควรทำแบบคุ้มครองครอบคลุม เพื่อป้องกันความเสี่ยงทั้งหมด
บ้านใหม่ที่ยังไม่เข้าอยู่เริ่มต้นด้วยประกันอัคคีภัยขั้นต่ำก่อน แล้วค่อยขยายความคุ้มครอง
บ้านตกแต่งแล้ว มีของมีค่าทำ Home Insurance แบบครอบคลุม + โจรกรรม + น้ำท่วม
ผ่อนบ้านอยู่เพิ่มประกันชีวิตผู้กู้ เพื่อลดภาระทายาทหากเกิดเหตุ

💸 ค่าเบี้ยประกันบ้านโดยประมาณ

ประเภทบ้านเบี้ยต่อปี (โดยประมาณ)
บ้านเดี่ยวมูลค่า 2 ล้าน1,000 – 2,000 บาท (อัคคีภัยพื้นฐาน)
บ้านพร้อมเฟอร์+เครื่องใช้ไฟฟ้า3,000 – 7,000 บาท (ครอบคลุม)
คอนโดมิเนียมเริ่มที่ 800 – 3,000 บาท

หมายเหตุ: ขึ้นอยู่กับทุนประกัน, ทำเล, แผนคุ้มครอง และบริษัทประกัน


✅ ข้อดีของการทำประกันบ้าน

  • คุ้มครองทรัพย์สินมูลค่าสูง

  • ป้องกันความเสี่ยงด้านการเงินจากเหตุไม่คาดฝัน

  • เบี้ยไม่แพงเมื่อเทียบกับมูลค่าความเสียหายที่อาจเกิด

  • ลดความเครียดและความไม่แน่นอนในชีวิต

  • ธนาคารบางแห่งให้ดอกเบี้ยพิเศษถ้าทำประกันครบวงจร


📝 สรุป: ผู้ซื้อบ้านใหม่ควรทำประกันบ้านหรือไม่?

ควรทำแน่นอน โดยเฉพาะประกันอัคคีภัยที่ธนาคารกำหนดเป็นเงื่อนไขบังคับ
ส่วนประกันเพิ่มเติม เช่น โจรกรรม น้ำท่วม หรือความรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอก ควรพิจารณาเพิ่มเติมตามรูปแบบการใช้บ้านและทรัพย์สินภายในบ้าน

เลือกบ้านโครงการที่น่าสนใจติดต่อเรา : www.kudsanhome.com

วัสดุก่อสร้างที่ใช้ในบ้านมีผลยังไงต่อความปลอดภัยและสุขภาพ?

วัสดุก่อสร้างที่ใช้ในบ้านมีผลยังไงต่อความปลอดภัยและสุขภาพ?

บ้านที่ดี ไม่ใช่แค่สวยหรือราคาดี แต่ต้อง “อยู่สบาย ปลอดภัย และไม่ทำร้ายสุขภาพ”

เมื่อพูดถึงการสร้างบ้านหรือเลือกซื้อบ้าน หลายคนอาจโฟกัสไปที่ทำเล ขนาด หรือดีไซน์ แต่มีอีกสิ่งที่สำคัญมากและมักถูกมองข้ามคือ “วัสดุก่อสร้าง” เพราะวัสดุแต่ละชนิดส่งผลโดยตรงต่อ ความปลอดภัยในชีวิตประจำวัน และ สุขภาพของผู้อยู่อาศัยในระยะยาว

ในบทความนี้เราจะพาไปเจาะลึกว่า วัสดุก่อสร้างส่งผลอย่างไรต่อสุขภาพและความปลอดภัยในบ้าน และมีอะไรที่ควรระวังบ้าง


🔍 วัสดุก่อสร้างที่ดีควรตอบโจทย์อะไรบ้าง?

  1. ✅ ปลอดภัยจากสารเคมีที่เป็นอันตราย

  2. ✅ มีความแข็งแรง ทนทาน

  3. ✅ ทนไฟ ไม่ติดไฟง่าย

  4. ✅ ระบายอากาศได้ดี ลดการสะสมความชื้นและเชื้อรา

  5. ✅ เป็นฉนวนกันความร้อนหรือเก็บความเย็นได้

  6. ✅ ไม่เป็นแหล่งสะสมฝุ่นหรือสารก่อภูมิแพ้


🧱 ตัวอย่างวัสดุก่อสร้างที่มีผลต่อ “ความปลอดภัย” และ “สุขภาพ”

1. สีทาผนัง และวัสดุตกแต่งภายใน

  • สีที่มีสาร VOCs (Volatile Organic Compounds) สูง เช่น ฟอร์มัลดีไฮด์ อาจก่อให้เกิดอาการระคายเคือง แสบตา ปวดหัว หรือแม้กระทั่งก่อมะเร็งในระยะยาว
    ควรเลือกสีชนิด Low VOC หรือไม่มี VOC สำหรับทาภายในบ้าน


2. ฉนวนกันความร้อน

  • ฉนวนใยแก้วหรือใยหินหากติดตั้งไม่ดี อาจปล่อยเส้นใยเข้าปอด เกิดการระคายเคืองทางเดินหายใจ
    ควรเลือกฉนวนที่ปลอดภัย เช่น PU Foam แบบปลอดสารพิษ หรือฉนวนจากเยื่อไม้ธรรมชาติ


3. ไม้ MDF / Particle Board / แผ่นไม้สังเคราะห์

  • วัสดุเหล่านี้มักใช้กาวฟอร์มัลดีไฮด์ ซึ่งปล่อยสารระเหยออกมาได้นานหลายปี
    เลือกวัสดุที่มีการรับรองมาตรฐาน E0 หรือ E1 (ค่าฟอร์มัลดีไฮด์ต่ำ)


4. พื้นกระเบื้อง / พื้นไม้ลามิเนต

  • กระเบื้องมักเย็นสบายและไม่เก็บฝุ่น

  • พื้นไม้ลามิเนตบางชนิดอาจมีสารเคมีหรือปล่อย VOC
    ควรดูคุณสมบัติเรื่องสารเคมี และความลื่นที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุ


5. หลังคาและวัสดุมุงหลังคา

  • วัสดุที่เก็บความร้อน เช่น Metal Sheet อาจทำให้บ้านร้อนและค่าไฟเพิ่ม

  • หากติดฉนวนที่ไม่ทนไฟ อาจกลายเป็นจุดเสี่ยง
    ควรเลือกหลังคาที่สะท้อนความร้อนได้ดี และใช้ฉนวนกันร้อนแบบปลอดภัย


6. ระบบท่อและสุขภัณฑ์

  • ท่อ PVC คุณภาพต่ำอาจกรอบ แตกง่าย และปล่อยสารเคมี

  • การติดตั้งไม่ถูกหลักอาจก่อให้เกิดการรั่วซึม เชื้อรา และแหล่งสะสมเชื้อโรค
    เลือกวัสดุที่ได้มาตรฐาน มอก. และติดตั้งโดยช่างมืออาชีพ


☣️ ผลกระทบเมื่อใช้วัสดุไม่มีคุณภาพ

วัสดุไม่มีคุณภาพผลกระทบที่เกิดขึ้น
สี VOC สูงระคายเคืองตา ผิวหนัง หายใจไม่สะดวก
ไม้สังเคราะห์ฟอร์มัลดีไฮด์สูงสะสมสารพิษในร่างกาย, เสี่ยงมะเร็ง
ฉนวนใยแก้วไร้มาตรฐานฝุ่นเส้นใยเข้าสู่ปอด, เสี่ยงโรคทางเดินหายใจ
พื้นลื่นหรือเปราะบางเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายโดยเฉพาะเด็ก/ผู้สูงอายุ

บ้านที่น่าอยู่ ไม่ใช่แค่สวย แต่ต้องปลอดภัยและห่วงใยสุขภาพของทุกคนในครอบครัว
การเลือกวัสดุก่อสร้างจึงไม่ใช่เรื่อง “ราคาถูกหรือแพง” แต่คือการลงทุนเพื่อความมั่นคงในระยะยาว

หากคุณกำลังเลือกซื้อบ้าน หรือเริ่มวางแผนปลูกสร้าง
อย่าลืมถามผู้รับเหมา หรือผู้พัฒนาโครงการให้ชัดเจนว่า ใช้วัสดุปลอดภัยและได้มาตรฐานหรือไม่

เลือกบ้านโครงการที่น่าสนใจติดต่อเรา : www.kudsanhome.com

วิธีเลือกโครงการบ้านที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคุณ

วิธีเลือกโครงการบ้านที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคุณ

การเลือกบ้านไม่ใช่แค่เรื่องของราคาหรือทำเล แต่คือการเลือก “วิถีชีวิต” ที่จะอยู่กับคุณไปอีกนาน การมีบ้านที่ตอบโจทย์ ไม่เพียงแต่ให้ความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของความสุขในทุกๆ วัน ดังนั้น ก่อนตัดสินใจเลือกโครงการบ้าน ควรพิจารณาอย่างรอบด้านทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน เพื่อให้บ้านที่คุณเลือกเป็น “บ้านที่ใช่” จริงๆ

1. กำหนด “ไลฟ์สไตล์” ของตัวเองให้ชัด

การเข้าใจวิถีชีวิตของตัวเองเป็นพื้นฐานสำคัญ เพราะบ้านที่เหมาะกับคนหนึ่ง อาจไม่ใช่คำตอบสำหรับอีกคนหนึ่ง

  • หากคุณทำงานจากที่บ้าน ควรเลือกบ้านที่มีพื้นที่ทำงานที่เงียบสงบ มีแสงธรรมชาติเข้าถึง และระบบไฟฟ้าที่เหมาะสมสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

  • ถ้าคุณเดินทางเข้าเมืองทุกวัน ต้องพิจารณาเส้นทางและระยะเวลาการเดินทางจริงในช่วงเวลาเร่งด่วน

  • สำหรับครอบครัวที่มีผู้สูงอายุ ควรเลือกบ้านชั้นเดียว หรือมีห้องนอนชั้นล่างเพื่อลดความเสี่ยงในการขึ้นลงบันได

  • คนรักสัตว์เลี้ยงควรเลือกบ้านที่มีพื้นที่สนามหรือโซนสำหรับสัตว์โดยเฉพาะ

การระบุลักษณะเหล่านี้ให้ชัดเจน จะช่วยกรองตัวเลือกและโฟกัสกับบ้านที่เหมาะสมได้มากขึ้น

2. ทำเลต้องสอดคล้องกับกิจวัตรประจำวัน

ทำเลไม่ใช่แค่คำว่า “อยู่ในเมือง” หรือ “ติดถนนใหญ่” แต่หมายถึงพื้นที่ที่ช่วยสนับสนุนชีวิตประจำวันของคุณให้ราบรื่น

  • ตรวจสอบระยะทางจริงระหว่างบ้านกับที่ทำงาน โรงเรียนของลูก หรือสถานพยาบาลที่ใช้อยู่

  • พิจารณาช่วงเวลาเร่งด่วนว่าเส้นทางจราจรหนาแน่นหรือไม่ มีทางลัดหรือทางเลือกอื่นไหม

  • ดูว่าบริเวณใกล้เคียงมีร้านสะดวกซื้อ ตลาด ซูเปอร์มาร์เก็ต หรือพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจหรือไม่

  • ตรวจสอบประวัติพื้นที่ว่ามีน้ำท่วมหรือเปล่า มีโรงงานหรือกิจกรรมที่สร้างเสียง/มลพิษไหม

ทำเลที่ดีควรทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น ไม่ใช่เพิ่มภาระในแต่ละวัน

3. สำรวจสิ่งอำนวยความสะดวกของโครงการ

สิ่งอำนวยความสะดวกที่มาพร้อมโครงการ ไม่ได้มีไว้เพื่อความสวยงาม แต่ควรใช้งานได้จริง และเสริมสร้างคุณภาพชีวิต

  • ฟิตเนส/คลับเฮาส์ ควรมีขนาดเหมาะสมกับจำนวนผู้อยู่อาศัย และอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน ไม่ทรุดโทรมหรือปล่อยทิ้งร้าง

  • สวนสาธารณะหรือโซนสีเขียวเป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพจิต โดยเฉพาะหากบ้านมีพื้นที่ส่วนตัวจำกัด

  • ระบบรักษาความปลอดภัย ควรมีทั้งทางกายภาพ (รั้ว, ด่านเข้า-ออก) และเทคโนโลยี (กล้องวงจรปิด, ระบบแสกน)

ตรวจสอบว่าค่าส่วนกลางที่คุณต้องจ่าย สอดคล้องกับคุณภาพสิ่งอำนวยความสะดวกที่ได้หรือไม่

4. โครงสร้างบ้านและแบบบ้านต้องเหมาะกับการใช้งานจริง

การออกแบบบ้านที่ดีควรสอดคล้องกับการใช้ชีวิต ไม่ใช่แค่สวยจากภายนอกเท่านั้น

  • ห้องนอนควรมีอย่างน้อย 1 ห้องที่มีแสงธรรมชาติ และสามารถวางเฟอร์นิเจอร์ได้ครบตามต้องการ

  • ห้องน้ำควรแยกโซนเปียก-แห้ง มีระบบระบายอากาศที่ดี ไม่เกิดความอับชื้น

  • ครัวไทยควรแยกจากตัวบ้านหลักเพื่อลดกลิ่นและความร้อน

  • บ้านควรมีจุดเชื่อมต่อไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตเพียงพอในจุดที่จำเป็น เช่น มุมทำงาน มุมดูทีวี ห้องนอน

  • หากคุณมีแผนต่อเติม เช่น ทำเรือนเล็ก สร้างพื้นที่ซักล้าง ควรพิจารณาข้อจำกัดของแบบบ้านและข้อกำหนดของโครงการ

การทดลองเดินในบ้านจริง และลองใช้งานพื้นที่จะช่วยให้เห็นภาพการอยู่อาศัยชัดเจนยิ่งขึ้น

5. ตรวจสอบชื่อเสียงของผู้พัฒนาโครงการ

ชื่อเสียงของผู้พัฒนาโครงการสะท้อนคุณภาพ ความรับผิดชอบ และความมั่นคงระยะยาว

  • ตรวจสอบประวัติว่าเคยมีปัญหาเรื่องการส่งมอบล่าช้าหรือไม่

  • ดูตัวอย่างโครงการที่สร้างมาแล้วในอดีตว่าอยู่ในสภาพเป็นอย่างไร

  • พูดคุยกับลูกบ้านในโครงการเก่าๆ เพื่อฟังประสบการณ์จริง เช่น ปัญหาหลังการเข้าอยู่ หรือการตอบสนองต่อข้อร้องเรียน

การเลือกผู้พัฒนาที่ดีไม่เพียงแต่ช่วยให้มั่นใจในคุณภาพการก่อสร้าง แต่ยังลดความเครียดในอนาคต

6. เปรียบเทียบความคุ้มค่าระหว่างโครงการ

บ้านราคาเท่ากัน อาจให้ความคุ้มค่าไม่เท่ากัน

  • วัสดุที่ใช้ เช่น กระเบื้อง ประตู หน้าต่าง สุขภัณฑ์ มีคุณภาพมากน้อยเพียงใด

  • ฟังก์ชันการใช้งาน เช่น ที่จอดรถในร่ม ห้องแม่บ้าน ห้องเก็บของ

  • โปรโมชั่นที่แถม เช่น ฟรีค่าธรรมเนียมโอน แถมเฟอร์นิเจอร์ หรือระบบ Smart Home

  • ค่าใช้จ่ายแฝง เช่น ค่าส่วนกลาง ค่าบำรุงรักษา ระบบไฟฟ้าพิเศษ ฯลฯ

ควรทำตารางเปรียบเทียบแบบละเอียดเพื่อให้เห็นภาพรวมชัดเจน และไม่หลงไปกับโฆษณาเพียงอย่างเดียว

7. คิดถึงอนาคต

การเลือกบ้านต้องคิดไกลกว่าปัจจุบัน เพราะบ้านคือสินทรัพย์ที่อยู่นานกว่ารถหรือเครื่องใช้ไฟฟ้า

  • ทำเลมีแนวโน้มเจริญขึ้นหรือไม่ เช่น มีแผนขยายรถไฟฟ้า การสร้างห้างสรรพสินค้า หรือสถานศึกษาในอนาคต

  • หากต้องการขายต่อในอนาคต ตลาดรองในย่านนั้นเป็นอย่างไร ความต้องการมีหรือไม่

  • ถ้ามีลูกในอนาคต พื้นที่ของบ้านจะพอเพียงหรือไม่

  • มีเงื่อนไขผูกพันที่อาจเป็นข้อจำกัดต่อการใช้งานระยะยาวหรือไม่ เช่น สัญญาร่วมโครงการจัดการหมู่บ้านที่เข้มงวดเกินไป

บ้านที่วางแผนอย่างรอบคอบ จะอยู่ได้นานและตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของชีวิตในทุกช่วงวัย

สรุป

บ้านที่ดีไม่ใช่บ้านที่สวยที่สุด หรือโปรฯแรงที่สุด แต่คือบ้านที่ “เหมาะสม” กับวิถีชีวิตของคุณมากที่สุด หากคุณเลือกบ้านด้วยความเข้าใจตัวเอง และประเมินอย่างรอบด้าน บ้านหลังนั้นจะกลายเป็นรากฐานที่มั่นคง และพื้นที่แห่งความสุขในทุกช่วงเวลาของชีวิต
เลือกบ้านโครงการที่น่าสนใจติดต่อเรา : www.kudsanhome.com

ทำไมการลงทุนในบ้านจัดสรรถึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในปีนี้?

ทำไมการลงทุนในบ้านจัดสรรถึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในปีนี้?

การลงทุนใน บ้านจัดสรร เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนและผู้ที่ต้องการซื้อบ้านเพื่อการอยู่อาศัย เนื่องจากบ้านจัดสรรมักมาพร้อมกับข้อดีหลายประการทั้งในด้านของทำเลที่ตั้ง, การพัฒนาที่มีคุณภาพ, ความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย และราคาที่มีความคุ้มค่า สำหรับปีนี้มีหลายปัจจัยที่ทำให้การลงทุนในบ้านจัดสรรกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้น ดังนี้:


1. ความต้องการที่อยู่อาศัยยังคงสูง

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจจะมีความท้าทายจากภาวะโลก แต่ความต้องการที่อยู่อาศัยในเมืองยังคงสูงขึ้น โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่ที่มีการขยายตัวของประชากรและการเติบโตของภาคเศรษฐกิจ อาทิ กรุงเทพมหานครและจังหวัดปริมณฑล เช่น นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ ที่ยังคงมีการเติบโตของตลาดบ้านจัดสรรอย่างต่อเนื่อง

การที่บ้านจัดสรรมักจะตั้งอยู่ในทำเลที่สะดวกกับการเดินทางและมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล และโรงเรียน ส่งผลให้มีความต้องการที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง


2. โครงการบ้านจัดสรรมีมาตรฐานการพัฒนาและการก่อสร้างที่สูง

ปัจจุบันโครงการบ้านจัดสรรส่วนใหญ่ได้รับการพัฒนาโดยบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในด้านอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมักมีการควบคุมคุณภาพการก่อสร้างที่ดีตามมาตรฐานสากล โดยเฉพาะในด้านวัสดุก่อสร้างและการออกแบบบ้าน ที่ไม่เพียงแต่มีความสวยงาม แต่ยังคำนึงถึงความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย

นอกจากนี้ บ้านจัดสรรบางโครงการยังมาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น สระว่ายน้ำ ฟิตเนส สวนสาธารณะ ระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง และพื้นที่จอดรถเพียงพอ ซึ่งทำให้ผู้ที่เลือกซื้อบ้านในโครงการจัดสรรมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น


3. การจัดการและดูแลรักษาโครงการบ้านจัดสรร

หนึ่งในข้อดีของการลงทุนในบ้านจัดสรรคือการมีผู้ดูแลและจัดการโครงการให้มีความเรียบร้อย เช่น การดูแลรักษาพื้นที่ส่วนกลาง การซ่อมแซมสิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงการรักษาความปลอดภัย ซึ่งทำให้เจ้าของบ้านไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการบำรุงรักษาและการจัดการที่อยู่อาศัย

ในกรณีที่บ้านจัดสรรมีระบบการดูแลและบำรุงรักษาที่ดี ผู้ซื้อบ้านจึงสามารถมั่นใจได้ว่า สภาพแวดล้อมและสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการจะยังคงอยู่ในสภาพที่ดี พร้อมใช้งานได้ตลอดเวลา


4. ทำเลที่ตั้งที่มีศักยภาพในการเติบโต

การเลือกทำเลที่ตั้งของบ้านจัดสรรก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้การลงทุนในบ้านจัดสรรในปีนี้เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในทำเลที่มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การขยายเส้นทางรถไฟฟ้า การพัฒนาถนนและทางด่วน รวมไปถึงการสร้างแหล่งงานและสถานที่สำคัญต่างๆ

การเลือกโครงการบ้านจัดสรรที่ตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพในการเติบโตในอนาคต สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับทรัพย์สินในระยะยาว และอาจให้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงขึ้นได้


5. ราคาบ้านจัดสรรยังมีความคุ้มค่า

ในปีนี้ราคาบ้านในโครงการจัดสรรยังคงมีความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับบ้านที่สร้างขึ้นเอง เนื่องจากโครงการบ้านจัดสรรมักได้รับการออกแบบและก่อสร้างโดยบริษัทที่มีประสบการณ์ ซึ่งทำให้ต้นทุนในการก่อสร้างและพัฒนาสามารถควบคุมได้ในระดับหนึ่ง

อีกทั้ง การซื้อบ้านในโครงการจัดสรรยังมีราคาที่ชัดเจนและสามารถขอสินเชื่อจากธนาคารได้ง่าย ทำให้ผู้ลงทุนสามารถจับต้องได้ง่าย โดยเฉพาะกับผู้ที่ต้องการเข้ามาเป็นเจ้าของบ้านในราคาที่ไม่สูงเกินไป


6. แนวโน้มการพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรในอนาคต

การลงทุนในบ้านจัดสรรในปีนี้ยังคงมีแนวโน้มที่น่าสนใจในระยะยาว เนื่องจากผู้พัฒนาโครงการมักมีการวางแผนและพัฒนาโครงการที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้อย่างดี โดยเฉพาะในด้านของการออกแบบที่สามารถรองรับการใช้ชีวิตในยุคปัจจุบันที่เน้นความสะดวกสบายและการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น ระบบบ้านอัจฉริยะ ระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูง หรือการออกแบบที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตในระยะยาว


7. การลงทุนในบ้านจัดสรรสามารถทำกำไรจากการขายหรือปล่อยเช่า

สำหรับนักลงทุนที่มองหาผลกำไรจากอสังหาริมทรัพย์ การลงทุนในบ้านจัดสรรสามารถสร้างผลตอบแทนได้จากการขายบ้านในราคาที่สูงขึ้น หรือการปล่อยเช่าเพื่อรับรายได้จากค่าเช่าในระยะยาว โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยสูง

การเลือกโครงการบ้านที่มีการพัฒนาในทำเลที่ดีและมีการเพิ่มมูลค่าอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้การลงทุนในบ้านจัดสรรมีโอกาสทำกำไรได้มากยิ่งขึ้น


สรุป

การลงทุนใน บ้านจัดสรร ในปีนี้เป็นทางเลือกที่น่าสนใจเนื่องจากความต้องการที่อยู่อาศัยยังคงสูง การพัฒนาโครงการที่มีมาตรฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทำเลที่มีศักยภาพในการเติบโต และราคาที่คุ้มค่า การเลือกลงทุนในโครงการบ้านจัดสรรที่มีคุณภาพและตั้งอยู่ในทำเลที่ดีจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว

ทั้งนี้ นักลงทุนควรทำการศึกษาข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับโครงการและทำเลอย่างละเอียด เพื่อให้การลงทุนในบ้านจัดสรรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและได้รับผลตอบแทนสูงสุดในอนาคตครับเลือกบ้านโครงการที่น่าสนใจติดต่อเรา : www.kudsanhome.com

ขั้นตอนการขอสินเชื่อบ้านสำหรับโครงการบ้านใหม่

ขั้นตอนการขอสินเชื่อบ้านสำหรับโครงการบ้านใหม่

การซื้อบ้านใหม่เป็นการตัดสินใจที่สำคัญในชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณต้องใช้ สินเชื่อบ้าน เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนในการซื้อบ้าน ในบทความนี้เราจะพูดถึงขั้นตอนการขอสินเชื่อบ้านสำหรับโครงการบ้านใหม่ ตั้งแต่การเตรียมตัวจนถึงการได้รับอนุมัติสินเชื่อ


1. ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสินเชื่อบ้าน

ก่อนที่จะเริ่มต้นขั้นตอนการขอสินเชื่อบ้าน คุณควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับประเภทสินเชื่อบ้านที่มีให้เลือก รวมถึงรายละเอียดเกี่ยวกับการผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาผ่อนชำระ และข้อกำหนดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง

ประเภทของสินเชื่อบ้าน:

  • สินเชื่อบ้านซื้อบ้านใหม่: ใช้สำหรับการซื้อบ้านในโครงการบ้านใหม่

  • สินเชื่อบ้านเพื่อรีไฟแนนซ์: ใช้สำหรับการรีไฟแนนซ์บ้านที่มีอยู่แล้ว

  • สินเชื่อบ้านเพื่อซ่อมแซม: ใช้สำหรับการกู้เงินเพื่อปรับปรุงหรือซ่อมแซมบ้าน

แต่ละประเภทสินเชื่อบ้านจะมีเงื่อนไขและข้อกำหนดที่แตกต่างกันไป ซึ่งควรศึกษาก่อนที่จะเลือกสินเชื่อที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ


2. ตรวจสอบคุณสมบัติและเอกสารที่จำเป็น

การขอสินเชื่อบ้านนั้นมีคุณสมบัติที่ผู้กู้ต้องมี เช่น:

  • อายุ 20-60 ปี

  • มีรายได้ที่มั่นคง และสามารถชำระค่างวดได้

  • ไม่เป็นหนี้เสียหรือมีประวัติการชำระหนี้ที่ไม่ดี

เอกสารที่จำเป็นสำหรับการขอสินเชื่อบ้าน ได้แก่:

  • บัตรประชาชน หรือ Passport (สำหรับชาวต่างชาติ)

  • ทะเบียนบ้าน

  • สลิปเงินเดือน หรือ ใบรับรองเงินเดือน (หากเป็นพนักงานประจำ)

  • สเตทเม้นท์บัญชีธนาคาร (ย้อนหลัง 3-6 เดือน)

  • สัญญาซื้อขาย บ้านจากโครงการ (เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของและข้อมูลเกี่ยวกับโครงการ)

  • เอกสารที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินที่คุณมี เช่น โฉนดที่ดิน (กรณีซื้อบ้านจากโครงการที่มีที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์)


3. เลือกธนาคารหรือสถาบันการเงินที่ให้สินเชื่อบ้าน

การเลือกธนาคารหรือสถาบันการเงินที่ให้สินเชื่อบ้านนั้นสำคัญมาก เนื่องจากแต่ละแห่งอาจมีเงื่อนไขที่แตกต่างกัน ทั้งในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาผ่อนชำระ และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ควรเปรียบเทียบตัวเลือกต่าง ๆ เพื่อหาข้อเสนอที่ดีที่สุดสำหรับตัวคุณเอง

ปัจจัยที่ควรพิจารณา:

  • อัตราดอกเบี้ย: สามารถเลือกสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่หรือดอกเบี้ยลอยตัว

  • ระยะเวลาผ่อนชำระ: เลือกระยะเวลาที่เหมาะสมกับความสามารถในการชำระ

  • ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ: เช่น ค่าธรรมเนียมการยื่นขอสินเชื่อ หรือค่าประกันชีวิต

  • บริการลูกค้า: ตรวจสอบความสะดวกในการติดต่อและบริการหลังการขาย


4. ยื่นขอสินเชื่อบ้าน

เมื่อคุณเลือกธนาคารหรือสถาบันการเงินที่ต้องการแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการยื่นคำขอสินเชื่อบ้าน คุณสามารถยื่นคำขอได้ทั้งทางออนไลน์หรือไปที่สาขาของธนาคารที่เลือก

ขั้นตอนในการยื่นขอสินเชื่อบ้าน:

  1. กรอกแบบฟอร์มการขอสินเชื่อ: โดยธนาคารจะมีแบบฟอร์มให้กรอกข้อมูลเกี่ยวกับตัวคุณและข้อมูลการเงิน เช่น รายได้, ค่าใช้จ่าย, และแผนการชำระหนี้

  2. ยื่นเอกสารที่จำเป็น: ส่งเอกสารต่าง ๆ ตามที่ธนาคารขอมา เช่น บัตรประชาชน, สลิปเงินเดือน, และเอกสารจากโครงการบ้าน

  3. การประเมินมูลค่าบ้าน: ธนาคารจะมีการประเมินราคาของบ้านใหม่ที่คุณต้องการซื้อ เพื่อให้มั่นใจว่ามูลค่าของบ้านนั้นเพียงพอในการค้ำประกันสินเชื่อ


5. ธนาคารทำการพิจารณาสินเชื่อ

หลังจากที่ยื่นขอสินเชื่อแล้ว ธนาคารจะทำการ พิจารณาสินเชื่อ โดยจะตรวจสอบข้อมูลต่าง ๆ เช่น รายได้ ความสามารถในการผ่อนชำระ และการประเมินมูลค่าของบ้าน หากทุกอย่างผ่านการพิจารณา ธนาคารจะอนุมัติสินเชื่อ

กระบวนการพิจารณา:

  • การตรวจสอบข้อมูลทางการเงิน: เช่น การตรวจสอบรายได้ ความสามารถในการชำระหนี้ และประวัติการชำระหนี้

  • การประเมินทรัพย์สิน: เพื่อให้แน่ใจว่าอสังหาริมทรัพย์มีมูลค่าสอดคล้องกับจำนวนเงินที่ขอกู้

  • การตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้อง: ทั้งเอกสารส่วนบุคคลและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับบ้าน


6. ลงนามสัญญากู้ยืมและรับเงินสินเชื่อ

หากธนาคารอนุมัติสินเชื่อแล้ว คุณจะได้รับ สัญญากู้ยืม ซึ่งต้องทำการ เซ็นสัญญา ก่อนที่สินเชื่อจะถูกปล่อยให้กับคุณ

หลังจากลงนามสัญญา:

  • ธนาคารจะโอนเงินสินเชื่อไปยังโครงการบ้านหรือเจ้าของบ้าน

  • คุณจะเริ่มชำระค่างวดตามระยะเวลาที่ตกลงกันไว้ โดยเริ่มตั้งแต่เดือนถัดไป


7. การชำระค่างวดสินเชื่อบ้าน

หลังจากได้รับเงินสินเชื่อแล้ว คุณจะต้องชำระค่างวดสินเชื่อตามระยะเวลาที่กำหนด โดยธนาคารจะส่งรายละเอียดการชำระเงินให้คุณทราบ ซึ่งสามารถชำระได้ทั้งทางธนาคารออนไลน์ หรือผ่านช่องทางอื่น ๆ ที่ธนาคารจัดเตรียมไว้


สรุปขั้นตอนการขอสินเชื่อบ้านสำหรับโครงการบ้านใหม่

ขั้นตอนรายละเอียด
1. ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสินเชื่อเลือกประเภทสินเชื่อที่เหมาะสมกับความต้องการ
2. ตรวจสอบคุณสมบัติและเอกสารตรวจสอบคุณสมบัติและเตรียมเอกสารที่ธนาคารต้องการ
3. เลือกธนาคารหรือสถาบันการเงินเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขต่าง ๆ
4. ยื่นขอสินเชื่อยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารที่จำเป็น
5. พิจารณาสินเชื่อธนาคารทำการตรวจสอบและพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ
6. ลงนามสัญญากู้ยืมลงนามในสัญญาและรับเงินสินเชื่อ
7. ชำระค่างวดเริ่มชำระค่างวดตามเงื่อนไขที่กำหนด

เลือกบ้านโครงการที่น่าสนใจติดต่อเรา : www.kudsanhome.com

S Kudsan Home

รับสร้างบ้าน สรรค์สร้างบ้านในฝัน พร้อมร่วมออกแบบ ความสวยงาม ฟั่งชั่นต่างๆของบ้าน ให้ตรงตามสไตน์

ช่องทางการติดต่อ

Facebook

ที่ตั้งสำนักงาน

©Skudsanhome. All rights reserved.