บ้านหลังแรกกับการวางแผนชีวิตครอบครัว : เลือกอย่างไรให้ไม่พลาด

บ้านหลังแรกกับการวางแผนชีวิตครอบครัว : เลือกอย่างไรให้ไม่พลาด

    การซื้อ บ้านหลังแรก เป็นหนึ่งในการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดในชีวิต เพราะบ้านไม่ใช่เพียงแค่ที่อยู่อาศัย แต่ยังเป็นรากฐานของการสร้างครอบครัว วางแผนอนาคต และเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าเพิ่มในระยะยาว หากวางแผนไม่รอบคอบ อาจทำให้เกิดภาระหนี้สินที่กดดันชีวิตครอบครัวได้


1. ประเมินความพร้อมทางการเงินก่อน

การเงินคือปัจจัยหลักของการซื้อบ้านหลังแรก ควรคำนวณให้รอบคอบว่าเรามีศักยภาพมากน้อยแค่ไหน

  • กำหนดงบประมาณที่ชัดเจน: ราคาบ้านควรไม่เกิน 3–5 เท่าของรายได้ต่อปีของครอบครัว

  • วิเคราะห์ภาระผ่อนต่อเดือน: ไม่ควรเกิน 30–40% ของรายได้รวมต่อเดือน เพื่อไม่ให้กระทบค่าใช้จ่ายอื่น

  • เงินดาวน์และค่าใช้จ่ายแรกเข้า: โดยทั่วไปบ้านใหม่ต้องวางเงินดาวน์ 10–20% ของราคารวม และยังมีค่าใช้จ่ายจิปาถะ เช่น ค่าธรรมเนียมโอน ภาษี ค่าประกันอัคคีภัย

  • กองทุนฉุกเฉิน: ควรมีเงินสำรองอย่างน้อย 3–6 เดือนของค่าใช้จ่ายรวม เผื่อกรณีรายได้สะดุด


2. เลือกทำเลที่ตอบโจทย์ชีวิตครอบครัว

ทำเลเป็นอีกปัจจัยสำคัญ เพราะบ้านที่ดีควรช่วยให้การใช้ชีวิตสะดวกสบาย

  • ใกล้แหล่งงานหรือย่านธุรกิจ: ลดเวลาเดินทาง เพิ่มเวลาอยู่กับครอบครัว

  • การเดินทางสะดวก: เข้าถึงถนนหลัก รถไฟฟ้า หรือระบบขนส่งสาธารณะง่าย

  • สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน: ใกล้โรงเรียน โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า ตลาดสด

  • สิ่งแวดล้อมปลอดภัย: ไม่อยู่ในพื้นที่น้ำท่วมขัง มีระบบรักษาความปลอดภัย และชุมชนเป็นมิตร


3. ประเมินขนาดบ้านและรูปแบบให้เหมาะกับครอบครัว

บ้านหลังแรกควรคำนึงถึงการใช้ชีวิตในปัจจุบันและอนาคต

  • คู่แต่งงานใหม่: บ้านขนาดเล็ก–กลาง เช่น ทาวน์โฮม หรือคอนโด 1–2 ห้องนอน อาจเพียงพอ

  • ครอบครัวที่มีลูกเล็ก: ควรเลือกบ้านที่มีห้องนอนอย่างน้อย 3 ห้อง และมีพื้นที่ใช้สอยสำหรับเด็ก

  • วางแผนระยะยาว: เผื่อการขยายครอบครัวหรือการดูแลพ่อแม่ในอนาคต

  • พื้นที่เสริม: โรงจอดรถ สวนเล็ก ๆ หรือห้องอเนกประสงค์ จะช่วยให้บ้านตอบโจทย์การใช้งานได้ดียิ่งขึ้น


4. เปรียบเทียบบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโด

การเลือกประเภทบ้านควรพิจารณาตามงบประมาณ ไลฟ์สไตล์ และขนาดครอบครัว

  • บ้านเดี่ยว: พื้นที่กว้าง ขยายได้ในอนาคต แต่ราคาสูงและต้องดูแลมาก

  • ทาวน์โฮม: ราคาจับต้องได้ เหมาะกับครอบครัวเล็ก แต่มีข้อจำกัดเรื่องความเป็นส่วนตัว

  • คอนโด: สะดวก ใกล้แหล่งงานและการเดินทาง ราคาหลากหลาย แต่พื้นที่ใช้สอยจำกัด


5. พิจารณาโครงการและผู้พัฒนา

  • เลือกโครงการที่มีชื่อเสียง น่าเชื่อถือ และบริการหลังการขายดี

  • ตรวจสอบคุณภาพวัสดุและงานก่อสร้าง

  • อ่านรีวิวจากผู้ซื้อจริง หรือลองเข้าไปเยี่ยมชมบ้านตัวอย่าง


6. วางแผนชีวิตคู่และครอบครัวควบคู่ไปด้วย

บ้านหลังแรกไม่ใช่เพียงแค่ทรัพย์สิน แต่คือ การลงทุนด้านชีวิต

  • คุยกับคู่สมรสหรือครอบครัวอย่างเปิดใจถึงงบประมาณและความต้องการ

  • วางแผนเรื่องลูก เช่น ใกล้โรงเรียนอนุบาล โรงเรียนประถม

  • เผื่อพื้นที่หรือห้องสำหรับการทำงานที่บ้าน (Work from home)

  • เลือกทำเลที่มีศักยภาพในการเพิ่มมูลค่า หากอนาคตต้องการขายหรือปล่อยเช่า


7. ตรวจบ้านก่อนตัดสินใจซื้อ

  • ตรวจสภาพบ้านทั้งโครงสร้าง ระบบไฟฟ้า ระบบประปา

  • ใช้บริการ บริษัทตรวจบ้าน เพื่อความมั่นใจ

  • หากเป็นบ้านมือสอง ควรเช็กเอกสารสิทธิ์และภาระหนี้สินของบ้านก่อน


สรุป

การซื้อ บ้านหลังแรก เป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญที่ต้องพิจารณาให้รอบด้าน ตั้งแต่เรื่องการเงิน ทำเล ขนาดบ้าน ไปจนถึงการวางแผนชีวิตครอบครัว หากเลือกอย่างรอบคอบ ไม่เพียงแต่จะได้บ้านที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ แต่ยังช่วยสร้างความมั่นคงในชีวิตคู่ และเป็นรากฐานที่มั่นคงสำหรับอนาคตของครอบครัวในระยะยาว

เลือกบ้านโครงการที่น่าสนใจติดต่อเรา : www.kudsanhome.com

บ้านหลังแรกกับสิทธิประโยชน์ทางภาษี

บ้านหลังแรกกับสิทธิประโยชน์ทางภาษี

การซื้อบ้านหลังแรกเป็นความฝันสำคัญของใครหลายคน แต่สิ่งที่ควรรู้เพิ่มเติมคือ “สิทธิประโยชน์ทางภาษี” ที่รัฐมอบให้เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการมีบ้าน โดยเฉพาะการลดหย่อนภาษีจากดอกเบี้ยเงินกู้บ้านหรือมาตรการพิเศษจากรัฐบาลที่ออกมาในบางปี การรู้สิทธิ์เหล่านี้จะช่วยให้คุณวางแผนการเงินได้ดีขึ้นและประหยัดภาษีได้อย่างถูกต้อง


1. การลดหย่อนดอกเบี้ยเงินกู้บ้าน

  • สำหรับผู้ที่กู้เงินซื้อบ้าน (ไม่ว่าจะบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม หรือคอนโด) สามารถนำ ดอกเบี้ยเงินกู้บ้าน มาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้สูงสุด 100,000 บาทต่อปี

  • เงื่อนไขคือ บ้านต้องเป็นที่อยู่อาศัยจริง ไม่ใช่บ้านเพื่อการลงทุน และเป็นการกู้ซื้อครั้งแรกหรือครั้งเดียวในชื่อผู้กู้

  • ตัวอย่างเช่น หากในปีภาษีนั้นคุณจ่ายดอกเบี้ยกู้บ้าน 90,000 บาท คุณสามารถนำจำนวนนี้ไปหักลดหย่อนภาษีได้เต็มจำนวน


2. มาตรการภาษีพิเศษสำหรับบ้านหลังแรก (ในบางปี)

ภาครัฐเคยออกมาตรการพิเศษเพื่อสนับสนุนการซื้อบ้านหลังแรก เช่น

  • มาตรการปี 2554: ซื้อบ้านหลังแรกไม่เกิน 5 ล้านบาท สามารถหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 10% ของมูลค่าบ้าน (เฉลี่ยหัก 5 ปี)

  • มาตรการปี 2559: ซื้อบ้านไม่เกิน 3 ล้านบาท สามารถนำราคาบ้านมาลดหย่อนภาษีสูงสุด 120,000 บาท (เฉลี่ย 5 ปี)

  • ปัจจุบันยังคงมีมาตรการบางส่วนที่ออกมาในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว รัฐบาลอาจเปิดให้สิทธิ์อีกครั้ง ดังนั้นผู้ซื้อบ้านควรติดตามข่าวสารจากกรมสรรพากรและประกาศจากกระทรวงการคลัง


3. สิทธิ์หักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง

นอกจากดอกเบี้ยเงินกู้ ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นที่อาจใช้สิทธิ์ได้ ขึ้นอยู่กับนโยบายในแต่ละปี เช่น

  • ค่าธรรมเนียมการโอน (บางช่วงรัฐบาลลดภาษีการโอนเหลือ 0.01%)

  • ค่าจดจำนอง (จาก 1% ลดเหลือ 0.01% ในช่วงมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ)
    แม้สิทธิ์เหล่านี้จะไม่ใช่การลดหย่อนภาษีโดยตรง แต่ก็เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายตอนซื้อบ้าน


4. เงื่อนไขและข้อควรระวัง

  • บ้านที่ใช้สิทธิ์ต้องเป็น บ้านเพื่ออยู่อาศัยจริง หากตรวจสอบพบว่าใช้เพื่อการลงทุน เช่น ซื้อปล่อยเช่า อาจถูกเพิกถอนสิทธิ์

  • ต้องมี ชื่อผู้กู้ตรงกับผู้ขอลดหย่อนภาษี และสามารถใช้สิทธิ์ได้เพียงคนละ 1 หลังเท่านั้น

  • ควรเก็บเอกสารสำคัญ เช่น ใบเสร็จรับดอกเบี้ย ใบสัญญากู้ เพื่อยื่นกับกรมสรรพากรในช่วงยื่นภาษี


5. การวางแผนภาษีเพื่อให้ใช้สิทธิ์ได้เต็มที่

  • คำนวณภาษีล่วงหน้าว่าจะได้ประโยชน์จากการลดหย่อนเท่าไร หากเงินเดือนยังไม่สูงมาก อาจวางแผนใช้สิทธิ์ในช่วงที่มีรายได้สูงขึ้น

  • หากคู่สมรสมีรายได้ทั้งคู่ สามารถเลือกให้ผู้ใดผู้หนึ่งใช้สิทธิ์หักดอกเบี้ย เพื่อให้ได้ผลประโยชน์สูงสุด

  • ติดตามมาตรการใหม่ๆ ที่อาจออกมา เช่น การลดหย่อนพิเศษบ้านหลังแรกในปีใดปีหนึ่ง เพื่อไม่พลาดสิทธิ์


สรุป
การซื้อบ้านหลังแรกไม่ได้เป็นเพียงการลงทุนเพื่อที่อยู่อาศัย แต่ยังมาพร้อมกับ สิทธิประโยชน์ทางภาษี ที่ช่วยลดภาระการเงินของคุณได้ หากคุณเข้าใจและใช้สิทธิ์อย่างถูกต้อง คุณจะสามารถประหยัดภาษีได้หลายหมื่นบาทต่อปี การวางแผนตั้งแต่ก่อนซื้อบ้าน เก็บเอกสารอย่างเป็นระบบ และติดตามนโยบายจากภาครัฐ จะช่วยให้บ้านหลังแรกของคุณเป็นมากกว่าความฝัน แต่ยังเป็นเครื่องมือในการจัดการการเงินอย่างชาญฉลาด

เลือกบ้านโครงการที่น่าสนใจติดต่อเรา : www.kudsanhome.com

Smart Home คืออะไร? – ทำความเข้าใจแนวคิดบ้านอัจฉริยะและเหตุผลที่ควรลงทุน

Smart Home คืออะไร? – ทำความเข้าใจแนวคิดบ้านอัจฉริยะและเหตุผลที่ควรลงทุน

เทคโนโลยีได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนในทุกมิติ ตั้งแต่การทำงาน การเดินทาง ไปจนถึงการอยู่อาศัย หนึ่งในนวัตกรรมที่กำลังได้รับความนิยมและถูกพูดถึงอย่างมากคือ Smart Home หรือ “บ้านอัจฉริยะ” ซึ่งเป็นมากกว่าความสะดวกสบาย แต่ยังหมายถึงการลงทุนเพื่อความปลอดภัย ความยั่งยืน และอนาคตของการใช้ชีวิต


ความหมายของ Smart Home

Smart Home หมายถึง บ้านที่ผสานเทคโนโลยีดิจิทัลและอุปกรณ์อัจฉริยะ (IoT) เข้ากับระบบอยู่อาศัย ทำให้ผู้อยู่อาศัยสามารถควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้แบบเรียลไทม์ ไม่ว่าจะอยู่ในบ้านหรือนอกบ้าน การควบคุมสามารถทำได้ผ่านสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือแม้กระทั่งการสั่งงานด้วยเสียง เช่น การเปิด–ปิดไฟ ปรับอุณหภูมิแอร์ ล็อกประตู หรือดูภาพจากกล้องวงจรปิด


องค์ประกอบสำคัญของ Smart Home

  1. ระบบความปลอดภัย (Smart Security)

    • กล้องวงจรปิดอัจฉริยะที่แจ้งเตือนผ่านมือถือ

    • Digital Door Lock ใช้รหัส ลายนิ้วมือ หรือการ์ด

    • เซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวและการบุกรุก

  2. ระบบจัดการพลังงาน (Smart Energy)

    • ไฟอัจฉริยะปรับระดับแสงและตั้งเวลาได้

    • เครื่องปรับอากาศที่เชื่อมต่อกับมือถือ ควบคุมได้แม้ไม่อยู่บ้าน

    • ระบบโซลาร์เซลล์พร้อมรายงานการใช้พลังงานแบบเรียลไทม์

  3. ระบบความสะดวกสบาย (Smart Living)

    • ม่านอัตโนมัติที่ปรับตามเวลาและแสงแดด

    • เครื่องใช้ไฟฟ้าที่สั่งงานผ่านเสียง เช่น Google Assistant, Alexa

    • ระบบควบคุมความบันเทิงในบ้าน (ทีวี เครื่องเสียง) ผ่านแอปเดียว

  4. ระบบเพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม (Smart Health & Environment)

    • เครื่องฟอกอากาศที่ตรวจวัดคุณภาพอากาศและแจ้งเตือน PM2.5

    • ระบบตรวจจับควันและก๊าซรั่ว

    • ระบบควบคุมอุณหภูมิและความชื้นเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่


เหตุผลที่ควรลงทุนใน Smart Home

  • เพิ่มความปลอดภัย: บ้านอัจฉริยะมีระบบตรวจสอบ แจ้งเตือน และป้องกันการบุกรุก ทำให้ผู้อยู่อาศัยอุ่นใจมากขึ้น

  • ประหยัดพลังงาน: ช่วยลดค่าไฟด้วยระบบจัดการอัตโนมัติ เช่น ปิดไฟเมื่อไม่มีคนอยู่ หรือปรับแอร์อัตโนมัติตามอุณหภูมิจริง

  • สะดวกสบาย: ควบคุมทุกอย่างได้จากที่เดียว ไม่ว่าจะอยู่ในบ้านหรืออยู่นอกสถานที่

  • ยกระดับคุณภาพชีวิต: สร้างบรรยากาศการอยู่อาศัยที่ทันสมัย ตอบโจทย์วิถีชีวิตยุคดิจิทัล

  • เพิ่มมูลค่าอสังหาริมทรัพย์: บ้านที่ติดตั้ง Smart Home มีความทันสมัยและขายต่อได้ง่ายขึ้น


แนวโน้มในอนาคตของ Smart Home

Smart Home จะไม่ได้หยุดอยู่แค่การควบคุมอุปกรณ์พื้นฐาน แต่จะก้าวไปสู่การเชื่อมโยงกับ Smart City และ Internet of Things (IoT) เพื่อสร้างระบบนิเวศการอยู่อาศัยที่ยั่งยืนมากขึ้น บ้านจะสามารถสื่อสารกับระบบเมือง เช่น ไฟฟ้า การจราจร และพลังงานหมุนเวียน ทำให้เกิดความปลอดภัยและประหยัดพลังงานในระดับสังคมโดยรวม


สรุป

Smart Home คือแนวคิดบ้านแห่งอนาคตที่ตอบโจทย์ทั้ง ความสะดวกสบาย ความปลอดภัย และความยั่งยืน การลงทุนในบ้านอัจฉริยะจึงไม่ใช่เพียงการเพิ่มคุณภาพชีวิตในปัจจุบัน แต่ยังเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตที่เทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทในทุกมิติของการใช้ชีวิต

เลือกบ้านโครงการที่น่าสนใจติดต่อเรา : www.kudsanhome.com

ทำไมการซื้อบ้านหลังแรกควรเริ่มด้วยการตั้งเป้าหมายร่วมกัน

ทำไมการซื้อบ้านหลังแรกควรเริ่มด้วยการตั้งเป้าหมายร่วมกัน

การซื้อบ้านหลังแรกถือเป็นหนึ่งในก้าวสำคัญของชีวิต ไม่เพียงแต่เป็นการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ แต่ยังสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ทางการเงินและการวางแผนชีวิตของคู่รักหรือครอบครัว การเริ่มต้นด้วย การตั้งเป้าหมายร่วมกัน จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม บทความนี้จะอธิบายเหตุผลว่าทำไมการกำหนดเป้าหมายร่วมกันจึงเป็นกุญแจสำคัญ และวิธีการตั้งเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ


1. ทำความเข้าใจวิสัยทัศน์ของทั้งคู่

เมื่อคู่รักหรือครอบครัวเริ่มวางแผนซื้อบ้าน การพูดคุยเกี่ยวกับเป้าหมายชีวิตและสิ่งที่คาดหวังจากบ้านหลังแรกจะช่วยให้เข้าใจวิสัยทัศน์ของกันและกัน

ตัวอย่างคำถามสำหรับตั้งเป้าหมายร่วมกัน:

  • บ้านหลังแรกมีไว้สำหรับอยู่อาศัยถาวรหรือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการลงทุน

  • ไลฟ์สไตล์ที่ต้องการเป็นแบบสงบหรือใกล้เมืองและสิ่งอำนวยความสะดวก

  • มีแผนการขยายครอบครัวในอนาคตหรือไม่

การพูดคุยและทำความเข้าใจตั้งแต่ต้นจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ลดความขัดแย้ง และสร้างความพึงพอใจให้กับทั้งคู่


2. วางแผนการเงินอย่างเป็นระบบ

การตั้งเป้าหมายร่วมกันช่วยให้คู่รักสามารถวางแผนงบประมาณได้อย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การคำนวณเงินดาวน์ ผ่อนบ้านต่อเดือน ค่าซ่อมบำรุง และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

ประโยชน์ของการตั้งเป้าหมายทางการเงินร่วมกัน:

  • ลดความเสี่ยงเกิดภาระหนี้เกินตัว

  • วางแผนการลงทุนหรือออมเงินสำหรับค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน

  • ตัดสินใจเลือกรูปแบบสินเชื่อและระยะเวลาผ่อนบ้านให้เหมาะสม

การมีเป้าหมายร่วมด้านการเงินทำให้คู่รักสามารถซื้อบ้านได้โดยไม่กระทบกับชีวิตประจำวันและความมั่นคงทางการเงิน


3. การเลือกบ้านและทำเลที่ตรงกับความต้องการ

เมื่อมีเป้าหมายร่วมกัน การเลือกบ้านและทำเลก็จะง่ายขึ้น คู่รักจะสามารถกำหนดลำดับความสำคัญ เช่น

  • ใกล้ที่ทำงานหรือสถานศึกษาของลูก

  • ความปลอดภัยและสิ่งอำนวยความสะดวกรอบบ้าน

  • ขนาดบ้านและจำนวนห้องที่ต้องการ

การตั้งเป้าหมายร่วมกันทำให้การเลือกบ้านไม่ใช่แค่เรื่องความชอบส่วนตัว แต่เป็นการตัดสินใจที่เหมาะสมกับทั้งคู่


4. ลดความขัดแย้งและสร้างความเข้าใจ

การซื้อบ้านเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องใช้เงินจำนวนมากและตัดสินใจหลายขั้นตอน การตั้งเป้าหมายร่วมกันช่วยลดความขัดแย้งได้ เพราะทั้งคู่จะมีกรอบการตัดสินใจร่วมกัน เช่น

  • กำหนดขอบเขตราคาสูงสุดของบ้าน

  • ตัดสินใจว่าพร้อมหรือไม่สำหรับบ้านมือสองหรือมือหนึ่ง

  • กำหนดสิ่งอำนวยความสะดวกที่ “ต้องมี” และ “ไม่จำเป็น”

การมีกรอบเป้าหมายร่วมกันช่วยให้การเจรจาต่อรองและการเลือกบ้านเป็นไปอย่างราบรื่น


5. สร้างแรงจูงใจและความมุ่งมั่น

การตั้งเป้าหมายร่วมกันทำให้คู่รักมีแรงจูงใจและความมุ่งมั่นมากขึ้น เพราะบ้านหลังแรกไม่ใช่แค่การซื้ออสังหาริมทรัพย์ แต่เป็นการสร้างชีวิตและความมั่นคงร่วมกัน

  • การออมเงินเพื่อดาวน์บ้านจะง่ายขึ้นเมื่อมีเป้าหมายชัดเจน

  • การเลือกบ้านที่เหมาะสมกับทั้งคู่จะไม่ถูกละเลย

  • เป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างรากฐานชีวิตคู่ที่มั่นคง


6. วิธีตั้งเป้าหมายร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ

  1. นั่งคุยอย่างเปิดใจ – ฟังความต้องการและความฝันของกันและกัน

  2. เขียนเป้าหมายลงบนกระดาษ – ระบุงบประมาณ ทำเล ขนาดบ้าน และความต้องการเพิ่มเติม

  3. จัดลำดับความสำคัญ – แยกสิ่งที่ต้องมี กับสิ่งที่อยากมี

  4. วางแผนระยะเวลา – กำหนดช่วงเวลาที่ต้องการซื้อและเตรียมตัวด้านการเงิน

  5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ – นายหน้าหรือที่ปรึกษาทางการเงินช่วยให้เป้าหมายมีความเป็นจริง


สรุป

การซื้อบ้านหลังแรกไม่ใช่แค่เรื่องอสังหาริมทรัพย์ แต่เป็นการวางแผนชีวิตคู่และการเงินร่วมกัน การตั้งเป้าหมายร่วมกันตั้งแต่เริ่มต้นช่วยให้:

  • เข้าใจวิสัยทัศน์และความต้องการของคู่รัก

  • วางแผนการเงินได้อย่างมั่นคง

  • เลือกบ้านและทำเลที่เหมาะสม

  • ลดความขัดแย้งและสร้างความเข้าใจ

  • เพิ่มแรงจูงใจและความมุ่งมั่น

การเริ่มต้นด้วยเป้าหมายร่วมกันคือก้าวสำคัญที่ทำให้การซื้อบ้านหลังแรกเป็นประสบการณ์ที่ราบรื่น สนุก และสร้างรากฐานชีวิตคู่ที่มั่นคง
เลือกบ้านโครงการที่น่าสนใจติดต่อเรา : www.kudsanhome.com

ซื้อบ้านครั้งแรก : การใช้เงินเดือนและเงินเก็บอย่างชาญฉลาด

ซื้อบ้านครั้งแรก : การใช้เงินเดือนและเงินเก็บอย่างชาญฉลาด

การซื้อบ้านครั้งแรกถือเป็นหนึ่งใน การลงทุนที่สำคัญที่สุดในชีวิต การวางแผนการเงินอย่างชาญฉลาดและการใช้เงินเดือนรวมกับเงินเก็บอย่างเหมาะสม จะช่วยให้คุณเป็นเจ้าของบ้านได้โดยไม่สร้างภาระหนี้หนักหรือปัญหาทางการเงินในอนาคต

บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจ วิธีใช้เงินเดือนและเงินเก็บ เพื่อเตรียมซื้อบ้านครั้งแรกอย่างมั่นคงและไม่เสี่ยงต่อปัญหาทางการเงิน


💰 1. ประเมินรายได้และเงินเก็บของคุณ

ก่อนตัดสินใจซื้อบ้าน คุณควรเริ่มจาก การประเมินรายได้สุทธิและเงินเก็บ:

1.1 รายได้ต่อเดือน

  • คำนวณ รายได้สุทธิ หลังหักภาษีและค่าใช้จ่ายประจำ

  • รายได้สุทธิจะเป็นตัวกำหนด วงเงินผ่อนต่อเดือน ที่คุณสามารถรับไหว

1.2 เงินเก็บ

  • ตรวจสอบเงินเก็บที่สามารถนำมาจ่าย เงินดาวน์บ้าน และค่าใช้จ่ายเริ่มต้น เช่น ค่าธรรมเนียมการโอน, ค่าส่วนกลาง

ตัวอย่าง:
รายได้สุทธิ: 50,000 บาท
ค่าใช้จ่ายประจำ: 25,000 บาท
เงินเก็บสำหรับดาวน์: 500,000 บาท


🏦 2. การจัดสรรเงินเดือนอย่างชาญฉลาด

เมื่อรู้รายได้สุทธิและค่าใช้จ่ายแล้ว ควรจัดสรรเงินเดือนให้เหมาะสม:

2.1 กำหนดวงเงินผ่อนบ้าน

  • ธนาคารแนะนำให้ ค่าใช้จ่ายบ้านไม่เกิน 30–40% ของรายได้สุทธิ

  • ตัวอย่าง: รายได้ 50,000 บาท → ค่าใช้จ่ายบ้านต่อเดือนไม่เกิน 20,000 บาท

2.2 แบ่งเงินเก็บสำรองฉุกเฉิน

  • ควรมีเงินสำรองสำหรับ ค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน 3–6 เดือน ของค่าใช้จ่ายประจำ

  • เงินสำรองนี้ช่วยให้คุณปลอดภัยจากความเสี่ยงหากเกิดเหตุฉุกเฉิน

2.3 การวางแผนค่าใช้จ่ายอื่น ๆ

  • ควรเผื่อค่าใช้จ่าย ค่าส่วนกลาง, ค่าประกันบ้าน, และ ค่าซ่อมบำรุง

  • การจัดสรรเงินเดือนให้สมดุลระหว่างการผ่อนบ้านและค่าใช้จ่ายประจำเป็นสิ่งสำคัญ


🏡 3. การใช้เงินเก็บเพื่อเงินดาวน์และค่าเริ่มต้น

เงินเก็บมีบทบาทสำคัญในการเป็น เงินดาวน์ สำหรับบ้านครั้งแรก:

  1. เงินดาวน์: แนะนำอย่างน้อย 10–20% ของราคาบ้าน

  2. ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นอื่น ๆ: ค่าธรรมเนียมการโอน, ค่าโอนกรรมสิทธิ์, ค่าส่วนกลาง, ค่าตกแต่ง

  3. วางแผนให้พอดีกับรายได้: อย่าใช้เงินเก็บทั้งหมด ควรเหลือเงินสำรองฉุกเฉิน

ตัวอย่าง: บ้านราคา 3 ล้านบาท
ดาวน์ 10% = 300,000 บาท
ค่าโอนและค่าตกแต่ง = 50,000 บาท
รวมเงินที่ต้องเตรียม = 350,000 บาท


📊 4. การผ่อนบ้านอย่างปลอดภัยและไม่สร้างหนี้เกินตัว

4.1 เลือกระยะเวลาผ่อน

  • ระยะเวลา 15–30 ปีขึ้นอยู่กับ ความสามารถในการผ่อนต่อเดือน

  • ระยะสั้น → ผ่อนหนักแต่ดอกเบี้ยต่ำ

  • ระยะยาว → ผ่อนเบาแต่ดอกเบี้ยสูง

4.2 เลือกอัตราดอกเบี้ยเหมาะสม

  • เปรียบเทียบ สินเชื่อบ้านหลายธนาคาร เพื่อหาอัตราดอกเบี้ยที่ดีที่สุด

  • เลือกแบบ ดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Rate) หากต้องการความแน่นอน

4.3 ใช้เงินเก็บผ่อนบางส่วน

  • หากมีเงินเก็บเพียงพอ สามารถ โปะเงินก้อน เพื่อลดดอกเบี้ยและระยะเวลาผ่อน


💡 5. เคล็ดลับการวางแผนระยะยาว

  1. เริ่มเก็บเงินล่วงหน้า: วางแผน 6–12 เดือนก่อนซื้อบ้าน

  2. ใช้บัญชีแยกสำหรับเงินดาวน์: ป้องกันการใช้จ่ายเงินดาวน์โดยไม่ได้ตั้งใจ

  3. ประเมินรายได้ในอนาคต: หากมีรายได้เพิ่ม สามารถเพิ่มวงเงินผ่อนหรือโปะเงินก้อน

  4. ติดตามค่าใช้จ่ายรายเดือน: เพื่อให้แน่ใจว่าคุณไม่ใช้จ่ายเกินความสามารถ


📝 6. สรุป

การซื้อบ้านครั้งแรกไม่ใช่เรื่องยาก แต่ ต้องวางแผนการเงินอย่างชาญฉลาด การใช้เงินเดือนและเงินเก็บอย่างมีระบบจะช่วยให้คุณ:

  • รู้ว่าผ่อนบ้านได้เดือนละเท่าไหร่

  • เตรียมเงินดาวน์และค่าใช้จ่ายเริ่มต้นได้พอดี

  • มีเงินสำรองฉุกเฉินและไม่สร้างภาระหนี้เกินตัว

  • วางแผนระยะยาวให้มั่นคง

การวางแผนอย่างรอบคอบตั้งแต่ต้นจะช่วยให้คุณซื้อบ้านครั้งแรกได้อย่างมั่นใจและลดความกังวลเรื่องการเงินในอนาคต

เลือกบ้านโครงการที่น่าสนใจติดต่อเรา : www.kudsanhome.com

อยากกู้ผ่านง่าย ซื้อบ้านหลังแรกต้องรู้ 5 ข้อเกี่ยวกับ “เงินเดือนและภาระหนี้”

อยากกู้ผ่านง่าย ซื้อบ้านหลังแรกต้องรู้ 5 ข้อเกี่ยวกับ “เงินเดือนและภาระหนี้”

ภาพฝันบ้านหลังแรกจะใกล้ขึ้นทันที ถ้าเข้าใจว่าธนาคาร “มองเราอย่างไร” เวลาพิจารณาสินเชื่อบ้าน บทความนี้เล่าแบบจับต้องได้ ไม่เน้นทฤษฎีล้วน แต่ให้วิธีคิด ตารางคำนวณเร็ว และเช็กลิสต์ที่ใช้ยื่นได้จริง


สรุปสั้นก่อนลงลึก

  • ตั้งเป้า ค่างวดบ้าน ≤ 35–40% ของรายได้ต่อเดือน (หลังหักหนี้อื่น)

  • รักษา DTI/DBR (สัดส่วนหนี้ต่อรายได้) ให้อยู่ราว ≤ 40–50%

  • เตรียม เงินดาวน์ 10–20% และ ค่าใช้จ่ายวันโอนราว 3–5% ของราคาบ้าน

  • วินัยเครดิตต้องแน่น: ไม่มีค้างชำระ 12 เดือนหลังสุด

  • เอกสารรายได้/การเงินต้อง “สะอาดและสม่ำเสมอ”


1) เข้าใจ “DTI/DBR” ให้ขาด: เพดานที่ทำให้ผ่านง่าย

DTI/DBR = ยอดผ่อนหนี้รวมต่อเดือน ÷ รายได้ต่อเดือน
ธนาคารตีความต่างกันเล็กน้อย แต่ภาพรวม ไม่ควรเกิน ~40–50%

วิธีคุม DTI ให้น่ามอง

  • รวมผ่อนทุกอย่าง (รถ/บัตร/ผ่อนของ/กู้บุคคล) ให้ครบ แล้ว “ออกแบบค่างวดบ้าน” ทีหลัง

  • ตั้งกรอบ ค่างวดบ้าน ≤ 35–40% ของรายได้ (ยิ่งต่ำยิ่งผ่านง่าย)

  • ถ้า DTI สูงเกิน:
    ▸ ปิดหนี้ดอกสูง/รีไฟแนนซ์ให้ค่างวดลด ▸ เพิ่มผู้กู้ร่วมที่รายได้มั่นคง ▸ เลือกผ่อนยาวขึ้นเพื่อลดค่างวด

สูตรเร็ว

วงเงินค่างวดบ้านที่ปลอดภัย ≈ (เพดาน % × รายได้ต่อเดือน) − (ค่างวดหนี้เดิม)

ตัวอย่าง

  • รายได้ 40,000 บ./เดือน, หนี้เดิม 6,000 บ./เดือน, กำหนดเพดาน 40%

  • เพดานค่างวดรวม = 16,000 → ค่างวดบ้านที่ควรตั้ง = 10,000 บ./เดือน

ตารางมองภาพรวม (ดอกเฉลี่ย 6%/ปี, ผ่อน 30 ปี)

ค่างวด/เดือนวงเงินกู้โดยประมาณ
5,000 บ.≈ 0.84 ลบ.
10,000 บ.≈ 1.67 ลบ.
15,000 บ.≈ 2.50 ลบ.
20,000 บ.≈ 3.34 ลบ.

หมายเหตุ: ตัวเลขเป็นประมาณการ วงเงินจริงขึ้นกับอัตราดอกเบี้ย โปรโมชันธนาคาร และอายุผ่อนที่เลือก


2) เงินเดือน “เท่าไหร่ถึงพอ” และโครงสร้างรายได้แบบที่แบงก์ชอบ

ธนาคารไม่ได้ดูแค่ “ยอดเงินเดือน” แต่ให้คะแนน ความสม่ำเสมอและพิสูจน์ได้

พนักงานประจำ

  • เงินเดือนประจำ + OT/คอมมิชชัน “ที่เข้าบัญชีสม่ำเสมอ”

  • อายุงานควร ≥ 6–12 เดือน (ผ่านโปร/สัญญาถาวรยิ่งดี)

ฟรีแลนซ์/เจ้าของกิจการ

  • ดู Statement 12 เดือน + เอกสารภาษี (ภ.ง.ด.90/91) / งบการเงิน

  • รายรับต้อง “ไหลเข้าบัญชีจริง” สม่ำเสมอ

หลักคิดง่ายๆ

  • หากอยากผ่อนบ้าน 10,000 บ./เดือนแบบสบายๆ รายได้รวมควร ≥ 30,000–35,000 บ./เดือน และหนี้อื่นน้อย

เคล็ดลับทำให้รายได้ “น่าเชื่อถือ”

  • ให้เงินเดือน/รายรับเข้าบัญชีเดียวกันต่อเนื่อง

  • ลดยอดเวียนเข้า–ออกที่ไม่จำเป็นก่อนยื่น 3–6 เดือน

  • ยื่นเอกสารรายได้เสริมที่พิสูจน์ได้ (ค่าเช่า, ค่าจ้างประจำ, สัญญาจ้าง)


3) บริหาร “หนี้เดิม” ให้โปรไฟล์สะอาดก่อนยื่น

เป้าหมาย: ทำให้ DTI ต่ำลง และประวัติเครดิต “ใส”

ลงมือแบบเป็นขั้น

  • ปิดหนี้บัตร/ผ่อนของดอกสูงก่อน (ดอกแพง + ค่างวดเล็กน้อยแต่ทำ DTI ดูไม่ดี)

  • รีไฟแนนซ์/ยืดงวดหนี้รถให้ค่างวดลดลง (แม้ดอกรวมสูงขึ้น แต่ช่วยผ่านเกณฑ์)

  • งดเปิดบัตร/สินเชื่อใหม่ 2–3 เดือนก่อนยื่น

  • ใช้บัตรเครดิตไม่เกิน 30% ของวงเงิน และจ่ายเต็มตรงเวลา

  • ตรวจเครดิตบูโรล่วงหน้า 1–2 เดือน แก้ไขความผิดพลาด/เคลียร์ค้างชำระ

ธนาคารชอบผู้กู้ที่ 12 เดือนหลังสุด “ไม่เคยค้าง” และไม่มีบัญชีสถานะเสี่ยง


4) เงินดาวน์, LTV และ “ค่าใช้จ่ายวันโอน” ที่หลายคนมองข้าม

แม้มีโปร LTV สูงบ้างเป็นช่วงๆ แต่ถ้าอยากผ่อนสบายและผ่านง่าย แนะนำเตรียม เงินดาวน์ 10–20%

ค่าใช้จ่ายรอบโอน (กันไว้ ~3–5% ของราคาบ้าน)

  • ค่าโอน–จดจำนอง

  • ค่าประเมินหลักประกัน/ค่าธรรมเนียมธนาคาร

  • ประกันอัคคีภัย ปีแรก (มักบังคับ)

  • อากร/อากรแสตมป์ (ตามกรณี)

เทคนิคต่อรอง

  • ต่อรองโครงการ: ฟรีค่าโอนบางส่วน/แถมเฟอร์ฯ/ค่ากองกลาง

  • ต่อรองธนาคาร: ขอเว้น/ลดค่าธรรมเนียม และขออัตราดอก “แพ็กเกจรวม”


5) เลือก “อายุผ่อน & แพ็กเกจดอกเบี้ย” ให้เข้ากระเป๋า

  • ผ่อนยาว (เช่น 30 ปี) → ค่างวดต่ำลง (DTI สวย) แต่ดอกเบี้ยรวมสูง

  • ผ่อนสั้น → ค่างวดสูง (ผ่านยากขึ้น) แต่ปิดหนี้เร็ว ดอกเบี้ยน้อยรวม

  • ดอกบ้านนิยม โปร 3 ปีแรก: Fix/Step/อิง MRR → หลังโปรจะ “ลอยตัว”
    อย่าดูแค่ปีแรก ให้คำนวณ ค่าเฉลี่ย 3 ปีแรก + อัตราหลังโปร ด้วย

  • วางแผน รีไฟแนนซ์ช่วงปีที่ 3–5 ถ้าดอกขึ้นสูง และโปรไฟล์เราดี


ตัวอย่างครบวงจร (เห็นภาพใน 1 นาที)

เป้าหมาย: หา “ราคาบ้านที่เหมาะ” กับรายได้

  • รายได้ 40,000 บ./เดือน, หนี้เดิม 6,000 บ./เดือน

  • เพดานค่างวดรวม 40% = 16,000 → ค่างวดบ้านที่ปลอดภัย = 10,000 บ./เดือน

  • ที่ดอกเฉลี่ย 6% ผ่อน 30 ปี → กู้ได้ราว 1.67 ลบ.

  • ถ้าดาวน์ 10% → “ราคาบ้านเหมาะสม” ≈ 1.85–1.90 ลบ.

  • กันค่าใช้จ่ายวันโอน 4% ≈ 74,000 บ. (ประมาณการ)

อยากได้บ้านแพงขึ้น?
▸ เพิ่มผู้กู้ร่วม (รายได้ดี/หนี้ต่ำ) ▸ ปิดหนี้ดอกสูงบางส่วน ▸ ผ่อนยาวขึ้น (ถ้าธนาคารรองรับ)


เช็กลิสต์เอกสาร (เตรียมครบ โอกาสผ่านสูง)

พนักงานประจำ

  • สลิปเงินเดือน 3–6 เดือน + หนังสือรับรองเงินเดือน

  • Statement 6–12 เดือน (เห็นเงินเดือนเข้า/คงเหลือปลายเดือนสวย)

  • สำเนาบัตร/ทะเบียนบ้าน + ใบจอง/สัญญาจะซื้อจะขาย

ฟรีแลนซ์/เจ้าของกิจการ

  • Statement 12 เดือน (รายรับจริง สม่ำเสมอ)

  • ภาษี (ภ.ง.ด.90/91) ปีล่าสุด 1–2 ปี / งบการเงิน (ถ้ามี)

  • ทะเบียนพาณิชย์/หนังสือรับรองนิติบุคคล และเอกสารรายได้เสริมที่พิสูจน์ได้


แผน 30–60 วัน ก่อนยื่นกู้ (ทำตามนี้ทีละสัปดาห์)

สัปดาห์ 1–2

  • ตรวจเครดิตบูโร / ปรับวินัยบัตรให้ต่ำกว่า 30% ของวงเงิน

  • สรุปหนี้เดิมทั้งหมด วางแผนปิด/รีไฟแนนซ์รายการดอกสูง

สัปดาห์ 3–4

  • รวบรวมเอกสารรายได้ให้ครบ (สลิป/Statement/ภาษี)

  • ซ้อมคำนวณ DTI และค่างวดบ้านเป้าหมาย

สัปดาห์ 5–6

  • เลือก 2–3 แบงก์ที่เงื่อนไขเหมาะ (A แผนหลัก, B สำรอง)

  • ขอ Pre-Approval เพื่อรู้เพดานชัด ก่อนวางเงินจองจริง


คำถามที่พบบ่อย (ย่อและชัด)

  • เงินเดือน 20,000 บ. ซื้อบ้านได้ไหม?
    ได้ ถ้าไม่มีหนี้อื่น ค่างวดราว 30–35% = 6,000–7,000 บ./เดือน → วงเงินกู้คร่าวๆ ~1.0–1.2 ลบ. (ดอก 6%, 30 ปี)

  • มีหนี้รถอยู่ ควรยื่นเลยไหม?
    เช็ก DTI ก่อน ถ้าเกิน 45–50% รีไฟแนนซ์/ยืดงวด/โปะบางส่วนให้ค่างวดลด แล้วค่อยยื่น

  • ฟรีแลนซ์ผ่านยากไหม?
    ไม่ยาก หาก Statement สวย รายรับสม่ำเสมอ และยื่นภาษีจริงครบถ้วน


สรุป “5 ข้อที่ต้องรู้” แบบกระชับ

  1. กำหนดค่างวดบ้าน ≤ 35–40% ของรายได้ เพื่อให้ DTI ดูดี

  2. เคลียร์/ลดหนี้เดิม โดยเฉพาะดอกสูงก่อนยื่น

  3. เตรียมเงินดาวน์ 10–20% + ค่าโอน 3–5%

  4. ทำเอกสารรายได้ให้สะอาดและสม่ำเสมอ (สลิป/Statement/ภาษี)

  5. เลือกอายุผ่อนและแพ็กเกจดอกที่เหมาะ พร้อมแผนรีไฟแนนซ์ในอนาคต

ทำความเข้าใจ 5 ข้อนี้ แล้ว “ออกแบบตัวเลข” ของเราให้บาลานซ์ ระหว่างเพดานธนาคารกับคุณภาพชีวิต แค่นี้บ้านหลังแรกก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป.

เลือกบ้านโครงการที่น่าสนใจติดต่อเรา : www.kudsanhome.com

ธนาคารดูอะไรบ้างในการประเมินสินเชื่อบ้าน?

ธนาคารดูอะไรบ้างในการประเมินสินเชื่อบ้าน?

ไขข้อสงสัยก่อนยื่นกู้ เพื่อให้ผ่านง่าย ไม่มีสะดุด

การซื้อบ้านไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม หรือคอนโด โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ซื้อจะต้องใช้การ ขอสินเชื่อจากธนาคาร เข้ามาช่วยในการผ่อนชำระเป็นระยะยาว ซึ่งถือเป็น “ขั้นตอนสำคัญ” ที่ต้องผ่านให้ได้ก่อนจึงจะได้เป็นเจ้าของบ้านอย่างสมบูรณ์

หลายคนที่กำลังจะยื่นกู้มักสงสัยว่า…

“ธนาคารเค้าดูอะไรบ้าง? เราเงินเดือนเท่านี้จะผ่านไหม?”
“มีหนี้บัตรเครดิตอยู่จะกระทบไหม?”
“ถ้าเป็นฟรีแลนซ์จะมีโอกาสกู้ผ่านหรือเปล่า?”

บทความนี้จะพาไป เจาะลึกว่า “ธนาคารใช้เกณฑ์อะไร” ในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อบ้าน และมีอะไรบ้างที่คุณควรเตรียมให้พร้อมเพื่อให้ผ่านได้ง่ายและรวดเร็ว


🏦 ธนาคารประเมินอะไรบ้างในการพิจารณาสินเชื่อบ้าน?

1. รายได้ของผู้กู้ (Income)

  • ดูจากรายได้สุทธิ หลังหักภาระต่าง ๆ แล้ว

  • เงินเดือนประจำ / รายรับประจำ / รายได้จากธุรกิจส่วนตัว

  • เอกสารที่ใช้: สลิปเงินเดือน, หนังสือรับรองเงินเดือน, Statement ย้อนหลัง 6 เดือน

  • กรณีอาชีพอิสระ: ต้องแสดงหลักฐานรายรับที่สม่ำเสมอ เช่น บัญชีรายรับ, บิล/ใบกำกับภาษี

✅ ธนาคารส่วนใหญ่อนุมัติวงเงินโดยคิดไม่เกิน 40–50% ของรายได้รวมต่อเดือนเป็นค่างวดผ่อนบ้าน


2. ภาระหนี้สินปัจจุบัน (Debt Obligation)

  • หนี้ที่มีอยู่แล้ว เช่น หนี้บัตรเครดิต, ผ่อนรถ, ผ่อนสินเชื่อส่วนบุคคล

  • หากมีหนี้มากอยู่แล้ว อาจถูกพิจารณาให้วงเงินน้อยลง หรือไม่อนุมัติ

  • ธนาคารจะตรวจสอบจากเครดิตบูโร และรายการเดินบัญชี

⚠️ ข้อนี้มักเป็น “สาเหตุอันดับต้น ๆ ที่ทำให้กู้ไม่ผ่าน” เพราะรายได้อาจพอ แต่ภาระหนี้เดิมหนักเกินไป


3. เครดิตบูโร (Credit Score)

  • ธนาคารจะเช็คว่า คุณมีประวัติการชำระหนี้อย่างไร

  • หากเคยค้างชำระ ล่าช้า หรือติดแบล็กลิสต์ในอดีต อาจส่งผลให้ถูกปฏิเสธ

  • แต่หากชำระดี มีวินัยในการจ่าย → คะแนนเครดิตดี → เพิ่มโอกาสผ่าน

📌 ควรตรวจสอบเครดิตบูโรของตัวเองล่วงหน้า (มีบริการเช็กออนไลน์) และเคลียร์หนี้ค้างให้เรียบร้อยก่อนยื่นกู้


4. มูลค่าหลักประกัน (บ้านหรือคอนโดที่จะซื้อ)

  • ธนาคารจะประเมินราคาบ้านโดยผู้เชี่ยวชาญ (Appraiser) ว่าตรงตามราคาขายจริงหรือไม่

  • ส่วนใหญ่อนุมัติวงเงินตาม มูลค่าประเมิน ไม่ใช่ราคาหน้าสัญญา

  • เช่น บ้านราคาขาย 3 ล้าน แต่มูลค่าประเมิน 2.7 ล้าน → อาจได้วงเงินไม่เต็ม

🏠 ควรสอบถามโครงการว่ามีการประเมินราคาจากธนาคารไหนบ้าง หรือใช้ราคาประเมินกรมที่ดินประกอบ


5. อายุผู้กู้

  • อายุผู้กู้ + ระยะเวลากู้ ไม่ควรเกิน 60–70 ปี (ขึ้นอยู่กับนโยบายธนาคาร)

  • เช่น หากคุณอายุ 45 ปี อาจกู้ได้ไม่เกิน 20–25 ปี

  • ผู้กู้อายุน้อยมีข้อได้เปรียบด้าน “ผ่อนระยะยาว → ค่างวดต่ำ”

🧑‍🤝‍🧑 หากอายุเกิน อาจใช้ “กู้ร่วม” กับบุตรหลาน เพื่อขยายระยะเวลาและเพิ่มวงเงินได้


6. การทำงานและสถานภาพอาชีพ

  • พนักงานประจำ = มีรายได้แน่นอน → ธนาคารให้ความมั่นใจ

  • เจ้าของกิจการ หรือฟรีแลนซ์ = ต้องมีเอกสารยืนยันรายได้แนบ เช่น ทะเบียนการค้า, รายรับบัญชีบริษัท

  • การมีงานมั่นคงในองค์กรขนาดใหญ่หรือราชการ มักเพิ่มโอกาสกู้ผ่าน


7. จำนวนเงินดาวน์ที่มี

  • ยิ่งคุณมีเงินดาวน์มาก (เช่น 20–30%) ธนาคารยิ่งมั่นใจในความสามารถในการผ่อนของคุณ

  • หากต้องการวงเงินกู้สูง (ใกล้ 100%) แต่ไม่มีเงินดาวน์เลย → โอกาสเสี่ยงที่จะไม่ผ่านสูงขึ้น

💡 แนะนำเตรียมเงินดาวน์ขั้นต่ำอย่างน้อย 10–20% เพื่อความมั่นใจในการอนุมัติ


✍️ เอกสารที่ควรเตรียมให้พร้อม

ผู้มีรายได้ประจำผู้ประกอบการ / อาชีพอิสระ
สำเนาบัตรประชาชน / ทะเบียนบ้านสำเนาบัตรประชาชน / ทะเบียนบ้าน
สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 3–6 เดือนทะเบียนพาณิชย์ หรือ Statement ธุรกิจ
หนังสือรับรองเงินเดือนรายงานบัญชีรับ–จ่าย หรือใบกำกับภาษี
Statement ย้อนหลัง 6 เดือนStatement ย้อนหลัง 12 เดือน
สำเนาสัญญาจะซื้อจะขายสำเนาสัญญาจะซื้อจะขาย

✅ สรุป: อยากให้ธนาคารอนุมัติสินเชื่อบ้าน “ต้องเตรียมให้ครบ 3 ด้าน”

  1. รายได้ชัดเจน – มีความมั่นคง

  2. ภาระหนี้ไม่หนัก – เครดิตดี

  3. เอกสารครบ – บ้านผ่านการประเมิน

การเตรียมความพร้อมก่อนยื่นกู้ไม่เพียงช่วยให้คุณผ่านง่ายขึ้น แต่ยังช่วยให้ได้วงเงินที่เหมาะสม และผ่อนสบายในระยะยาว
หากคุณวางแผนไว้ล่วงหน้า มีวินัยทางการเงิน และเลือกโครงการบ้านที่เหมาะกับกำลังผ่อนจริง ธนาคารก็พร้อมเปิดโอกาสให้คุณได้มีบ้านในฝันไม่ยากเลยครับ

เลือกบ้านโครงการที่น่าสนใจติดต่อเรา : www.kudsanhome.com

บ้านหลังแรกต้องรู้! 10 ขั้นตอนก่อนตัดสินใจซื้อ

บ้านหลังแรกต้องรู้! 10 ขั้นตอนก่อนตัดสินใจซื้อ

การซื้อ “บ้านหลังแรก” ถือเป็นหนึ่งในก้าวสำคัญของชีวิต เพราะนอกจากจะเป็นจุดเริ่มต้นของการมีทรัพย์สินที่มั่นคงแล้ว ยังเป็นภาระทางการเงินระยะยาวที่ต้องวางแผนอย่างรอบคอบ หากพลาดพลั้งเพียงเล็กน้อย อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตและการเงินในอนาคตได้ ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจซื้อบ้าน บทความนี้จะพาคุณไปดู 10 ขั้นตอนสำคัญที่มือใหม่ห้ามมองข้าม


ขั้นตอนที่ 1: ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน

ก่อนมองหาบ้าน ต้องรู้ก่อนว่า “เราต้องการบ้านไปเพื่ออะไร”
คำถามที่ควรถามตัวเอง ได้แก่:

  • ต้องการบ้านเพื่ออยู่อาศัยเอง หรือเพื่อปล่อยเช่า/เก็งกำไร?

  • ต้องการบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม หรือคอนโด?

  • บ้านควรอยู่ใกล้ที่ทำงาน โรงเรียนลูก หรือรถไฟฟ้า?

การมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยกรองตัวเลือกได้เร็วขึ้น และลดความเสี่ยงในการตัดสินใจผิดพลาด


ขั้นตอนที่ 2: ประเมินกำลังซื้อของตนเอง

รู้ราคาบ้านอย่างเดียวไม่พอ ต้องรู้ด้วยว่า “เราผ่อนได้แค่ไหน”
โดยทั่วไปธนาคารจะอนุมัติสินเชื่อให้ไม่เกิน 40% ของรายได้ต่อเดือน

ตัวอย่าง:
รายได้ 30,000 บาท/เดือน → ยอดผ่อนที่เหมาะสม = ไม่เกิน 12,000 บาท/เดือน

ค่าใช้จ่ายเบื้องต้นที่ควรเตรียม ได้แก่:

  • เงินดาวน์ (10–20% ของราคาบ้าน)

  • ค่าธรรมเนียมการโอน ภาษี

  • ค่าตกแต่ง เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า

  • เงินสำรองฉุกเฉิน (อย่างน้อย 3–6 เดือนของค่าผ่อน)


ขั้นตอนที่ 3: ตรวจสอบเครดิตและวงเงินกู้

ก่อนยื่นกู้ ควรเช็กเครดิตบูโรว่ามีประวัติค้างชำระหรือไม่
หากมีหนี้บัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคล ควรเคลียร์ให้เรียบร้อยก่อน เพื่อเพิ่มโอกาสผ่านการอนุมัติ

แนะนำให้ขอสินเชื่อแบบ Pre-Approve จากธนาคารก่อน เพื่อรู้วงเงินที่กู้ได้จริง จะได้เลือกบ้านในงบที่เหมาะสม


ขั้นตอนที่ 4: เลือกทำเลอย่างมีกลยุทธ์

ทำเลคือปัจจัยที่ส่งผลต่อทั้งคุณภาพชีวิตและมูลค่าบ้านในอนาคต ควรพิจารณา:

  • การเดินทางสะดวก ใกล้ถนนใหญ่ ทางด่วน หรือรถไฟฟ้า

  • ใกล้ที่ทำงาน โรงเรียน โรงพยาบาล และแหล่งชุมชน

  • ศักยภาพของพื้นที่ เช่น โครงการพัฒนารถไฟฟ้าสายใหม่

หลายคนพลาดเพราะเลือกบ้านราคาถูกแต่เดินทางลำบาก เสียทั้งเวลาและค่าเดินทางทุกวัน


ขั้นตอนที่ 5: เลือกประเภทบ้านให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์

เลือกแบบบ้านที่ตรงกับวิถีชีวิตของคุณ:

ประเภทบ้านข้อดีข้อจำกัด
บ้านเดี่ยวพื้นที่ใช้สอยเยอะ เป็นส่วนตัวสูงราคาสูง ดูแลมาก
ทาวน์โฮมราคาย่อมเยา เหมาะกับครอบครัวเล็กพื้นที่น้อย ผนังติดเพื่อนบ้าน
คอนโดอยู่ในเมือง ใกล้รถไฟฟ้า ราคาจับต้องได้พื้นที่จำกัด เสียงรบกวน ค่าส่วนกลาง

ขั้นตอนที่ 6: สำรวจโครงการและเปรียบเทียบ

อย่าเลือกบ้านจากโฆษณาหรือโปรโมชั่นเพียงอย่างเดียว ควรเข้าไปดูโครงการจริง และเปรียบเทียบ:

  • คุณภาพงานก่อสร้างและวัสดุ

  • การออกแบบพื้นที่ใช้สอย

  • ระบบรักษาความปลอดภัย

  • ค่าบำรุงรายเดือน

  • ชื่อเสียงของผู้พัฒนาโครงการ

  • บริการหลังการขาย (Maintenance / Warranty)


ขั้นตอนที่ 7: ตรวจสอบเอกสารให้รอบคอบ

ก่อนเซ็นสัญญา ควรขอเอกสารและตรวจสอบให้ครบ:

  • ใบอนุญาตก่อสร้าง

  • โฉนดหรือสิทธิการถือครอง

  • แบบบ้านจริงและพื้นที่ใช้สอย

  • เงื่อนไขการผ่อนชำระและการโอนกรรมสิทธิ์

  • สัญญาจะซื้อจะขาย (ควรอ่านทุกบรรทัดอย่างละเอียด)


ขั้นตอนที่ 8: ยื่นขอสินเชื่อบ้าน

เตรียมเอกสารให้พร้อมเมื่อยื่นกู้:

  • สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้าน

  • สลิปเงินเดือน หรือหนังสือรับรองรายได้

  • รายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน

  • เอกสารเกี่ยวกับบ้าน เช่น ใบเสนอราคาหรือสัญญาจะซื้อจะขาย

เทคนิค: ยื่นขอสินเชื่อกับหลายธนาคารเพื่อเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยและโปรโมชั่น


ขั้นตอนที่ 9: โอนกรรมสิทธิ์และตรวจรับบ้าน

เมื่อสินเชื่อผ่านแล้ว ต้องดำเนินการ 2 อย่าง:

1. ตรวจรับบ้าน

  • ตรวจสอบโครงสร้าง ผนัง พื้น สุขภัณฑ์ ระบบไฟฟ้า

  • ขอ checklist รายการตรวจรับบ้านจากโครงการ

2. โอนกรรมสิทธิ์

  • นัดโอนกรรมสิทธิ์ที่สำนักงานที่ดิน

  • ชำระเงินดาวน์และค่าธรรมเนียม

  • ธนาคารจะชำระส่วนที่เหลือให้กับผู้ขาย


ขั้นตอนที่ 10: วางแผนชีวิตและงบตกแต่ง

หลังจากกลายเป็นเจ้าของบ้านแล้ว ต้องเตรียม:

  • งบสำหรับตกแต่งและซื้อเฟอร์นิเจอร์

  • ค่าบำรุงรักษารายเดือน เช่น ค่าส่วนกลาง

  • ค่าน้ำ ค่าไฟ อินเทอร์เน็ต

  • เงินสำรองสำหรับเหตุฉุกเฉิน เช่น น้ำรั่ว ระบบไฟฟ้าชำรุด


สรุป: บ้านหลังแรก ต้องคิดให้ครบ

บ้านไม่ใช่แค่ “ที่อยู่” แต่คือ “ภาระผูกพันระยะยาว”
การตัดสินใจที่ดีต้องมีทั้งข้อมูลครบถ้วน การวางแผนการเงินอย่างรอบคอบ และการเปรียบเทียบอย่างละเอียด

หากคุณกำลังวางแผนจะมีบ้านหลังแรกในเร็ว ๆ นี้ หวังว่าบทความนี้จะเป็นคู่มือเริ่มต้นที่ทำให้คุณมั่นใจ และไม่พลาดสิ่งสำคัญในการตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิต

เลือกบ้านโครงการที่น่าสนใจติดต่อเรา : www.kudsanhome.com

เตรียมซื้อบ้านสำหรับคู่รัก – สร้างรังรักด้วยความเข้าใจและการวางแผน

สิทธิ์บ้านล้านหลัง ของ ธอส. คืออะไร? เหมาะกับใครบ้าง?

หลายคนฝันอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง แต่ก็มักติดเรื่อง “เงินเดือนน้อย กู้ไม่ผ่าน” หรือ “ราคาบ้านสูงเกินกำลังผ่อน”
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จึงได้ออกโครงการที่ชื่อว่า “บ้านล้านหลัง” ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการช่วยเหลือให้คนไทยมีบ้านในราคาที่จับต้องได้

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ สิทธิ์บ้านล้านหลัง อย่างละเอียด ว่าคืออะไร? ใครขอได้? เงื่อนไขเป็นยังไง? และเหมาะกับใครบ้าง?


✅ บ้านล้านหลัง คืออะไร?

“โครงการบ้านล้านหลัง” คือโครงการสินเชื่อจาก ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ที่สนับสนุนให้คนไทยมีบ้าน
โดยมีเป้าหมายให้คนมีรายได้น้อย หรือผู้เริ่มทำงานสามารถซื้อที่อยู่อาศัยได้ในราคาที่เหมาะสม
ด้วยวงเงินกู้ไม่สูงมาก (บ้านราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท) แต่ให้ ผ่อนนาน ดอกเบี้ยต่ำ


📌 วัตถุประสงค์ของโครงการ

  • ลดความเหลื่อมล้ำด้านที่อยู่อาศัย

  • สนับสนุนการมีบ้านหลังแรก

  • ช่วยคนที่ไม่เคยมีบ้านมาก่อน หรือยังไม่สามารถกู้ผ่านในระบบปกติ


💰 สิทธิ์และเงื่อนไขหลัก

รายละเอียดเงื่อนไข
วงเงินกู้ไม่เกิน 1.5 ล้านบาท
ระยะเวลาผ่อนสูงสุด 40 ปี
ดอกเบี้ยพิเศษต่ำสุด 3 ปีแรก เช่น 1.99% หรือ 3% ต่อปี (แล้วแต่ช่วงโครงการ)
รายได้ผู้กู้ส่วนใหญ่จำกัดไม่เกิน 25,000–30,000 บาท/เดือน
ผู้กู้ร่วมได้ได้ เพื่อเพิ่มวงเงินกู้
ต้องไม่เคยมีบ้านใช่ (บ้านหลังแรก)

⚠️ หมายเหตุ: เงื่อนไขอาจเปลี่ยนแปลงตามเฟสที่เปิดรับสมัคร เช่น บ้านล้านหลัง เฟส 2 เป็นต้น


🏡 ที่อยู่อาศัยที่เข้าร่วมโครงการได้

  • บ้านจัดสรร / ทาวน์โฮม / คอนโดมิเนียม ที่ราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท

  • ต้องเป็นบ้านใหม่ / บ้านมือสองที่ยังไม่โอน

  • อยู่ในโครงการที่ ธอส. หรือกรมที่ดินรับรอง


👥 ใครบ้างที่เหมาะกับสิทธิ์นี้?

  1. ผู้มีรายได้น้อย–ปานกลาง (ไม่เกิน 25,000–30,000 บาท/เดือน)

  2. พนักงานเริ่มต้นทำงาน หรือเพิ่งเริ่มเก็บเงิน

  3. ผู้ที่ยังไม่เคยมีบ้านมาก่อน (ซื้อบ้านหลังแรก)

  4. คนที่มีภาระผ่อนรถ / หนี้น้อย แต่ยังไม่ผ่านกู้ปกติ

  5. คู่รัก / ครอบครัวเล็กที่อยากเริ่มต้นมีบ้าน


📝 ต้องเตรียมอะไรบ้าง?

  • สำเนาบัตรประชาชน / สำเนาทะเบียนบ้าน

  • สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 3–6 เดือน หรือหนังสือรับรองรายได้

  • Statement ธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน

  • เอกสารแสดงทรัพย์ที่ต้องการซื้อ เช่น ใบจองบ้าน, สำเนาโฉนด


📌 วิธีสมัครใช้สิทธิ์

  1. ตรวจสอบช่วงเวลาเปิดโครงการ (ผ่านเว็บไซต์ ธอส. หรือเพจทางการ)

  2. เลือกบ้าน/โครงการที่เข้าเงื่อนไข

  3. เตรียมเอกสารและสมัครกู้กับ ธอส. โดยตรง

  4. รอผลอนุมัติ และนัดโอนกรรมสิทธิ์กับกรมที่ดิน


✅ ข้อดีของโครงการบ้านล้านหลัง

  • ดอกเบี้ยต่ำ ช่วยให้ผ่อนสบายในช่วงเริ่มต้น

  • วงเงินไม่สูงมาก เหมาะกับผู้เริ่มต้นมีภาระ

  • ไม่ต้องมีเงินเดือนสูงก็สามารถมีบ้านได้

  • ผ่อนได้นานถึง 40 ปี → ทำให้ค่างวดต่ำ


⚠️ ข้อควรระวัง

  • บ้านราคาไม่เกิน 1.5 ล้าน → ทำเลอาจอยู่ชานเมือง / ต่างจังหวัด

  • เงื่อนไขมีการปรับเปลี่ยนตามช่วงเวลา → ควรติดตามข่าวจาก ธอส.

  • ต้องวางแผนรายได้รายจ่ายให้ดี เพราะยังมีภาระค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าซ่อมแซม


🏁 สรุป

โครงการบ้านล้านหลังของ ธอส. เป็นทางเลือกที่ดีมากสำหรับผู้ที่อยากมีบ้านหลังแรกแต่มีรายได้จำกัด
ด้วยเงื่อนไขที่ผ่อนสบาย ดอกเบี้ยต่ำ และไม่ต้องใช้เงินเดือนสูง ก็สามารถกู้ซื้อบ้านได้

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากเริ่มต้นมีบ้าน ควรติดตามประกาศรอบใหม่ของโครงการนี้ไว้ เพราะอาจเป็น “โอกาสทอง” ที่ทำให้คุณได้มีบ้านสมใจในงบที่จับต้องได้จริง

เลือกบ้านโครงการที่น่าสนใจติดต่อเรา : www.kudsanhome.com

สิทธิ์บ้านล้านหลัง ของ ธอส. คืออะไร? เหมาะกับใครบ้าง?

สิทธิ์บ้านล้านหลัง ของ ธอส. คืออะไร? เหมาะกับใครบ้าง?

หลายคนฝันอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง แต่ก็มักติดเรื่อง “เงินเดือนน้อย กู้ไม่ผ่าน” หรือ “ราคาบ้านสูงเกินกำลังผ่อน”
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จึงได้ออกโครงการที่ชื่อว่า “บ้านล้านหลัง” ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการช่วยเหลือให้คนไทยมีบ้านในราคาที่จับต้องได้

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ สิทธิ์บ้านล้านหลัง อย่างละเอียด ว่าคืออะไร? ใครขอได้? เงื่อนไขเป็นยังไง? และเหมาะกับใครบ้าง?


✅ บ้านล้านหลัง คืออะไร?

“โครงการบ้านล้านหลัง” คือโครงการสินเชื่อจาก ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ที่สนับสนุนให้คนไทยมีบ้าน
โดยมีเป้าหมายให้คนมีรายได้น้อย หรือผู้เริ่มทำงานสามารถซื้อที่อยู่อาศัยได้ในราคาที่เหมาะสม
ด้วยวงเงินกู้ไม่สูงมาก (บ้านราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท) แต่ให้ ผ่อนนาน ดอกเบี้ยต่ำ


📌 วัตถุประสงค์ของโครงการ

  • ลดความเหลื่อมล้ำด้านที่อยู่อาศัย

  • สนับสนุนการมีบ้านหลังแรก

  • ช่วยคนที่ไม่เคยมีบ้านมาก่อน หรือยังไม่สามารถกู้ผ่านในระบบปกติ


💰 สิทธิ์และเงื่อนไขหลัก

รายละเอียดเงื่อนไข
วงเงินกู้ไม่เกิน 1.5 ล้านบาท
ระยะเวลาผ่อนสูงสุด 40 ปี
ดอกเบี้ยพิเศษต่ำสุด 3 ปีแรก เช่น 1.99% หรือ 3% ต่อปี (แล้วแต่ช่วงโครงการ)
รายได้ผู้กู้ส่วนใหญ่จำกัดไม่เกิน 25,000–30,000 บาท/เดือน
ผู้กู้ร่วมได้ได้ เพื่อเพิ่มวงเงินกู้
ต้องไม่เคยมีบ้านใช่ (บ้านหลังแรก)

⚠️ หมายเหตุ: เงื่อนไขอาจเปลี่ยนแปลงตามเฟสที่เปิดรับสมัคร เช่น บ้านล้านหลัง เฟส 2 เป็นต้น


🏡 ที่อยู่อาศัยที่เข้าร่วมโครงการได้

  • บ้านจัดสรร / ทาวน์โฮม / คอนโดมิเนียม ที่ราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท

  • ต้องเป็นบ้านใหม่ / บ้านมือสองที่ยังไม่โอน

  • อยู่ในโครงการที่ ธอส. หรือกรมที่ดินรับรอง


👥 ใครบ้างที่เหมาะกับสิทธิ์นี้?

  1. ผู้มีรายได้น้อย–ปานกลาง (ไม่เกิน 25,000–30,000 บาท/เดือน)

  2. พนักงานเริ่มต้นทำงาน หรือเพิ่งเริ่มเก็บเงิน

  3. ผู้ที่ยังไม่เคยมีบ้านมาก่อน (ซื้อบ้านหลังแรก)

  4. คนที่มีภาระผ่อนรถ / หนี้น้อย แต่ยังไม่ผ่านกู้ปกติ

  5. คู่รัก / ครอบครัวเล็กที่อยากเริ่มต้นมีบ้าน


📝 ต้องเตรียมอะไรบ้าง?

  • สำเนาบัตรประชาชน / สำเนาทะเบียนบ้าน

  • สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 3–6 เดือน หรือหนังสือรับรองรายได้

  • Statement ธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน

  • เอกสารแสดงทรัพย์ที่ต้องการซื้อ เช่น ใบจองบ้าน, สำเนาโฉนด


📌 วิธีสมัครใช้สิทธิ์

  1. ตรวจสอบช่วงเวลาเปิดโครงการ (ผ่านเว็บไซต์ ธอส. หรือเพจทางการ)

  2. เลือกบ้าน/โครงการที่เข้าเงื่อนไข

  3. เตรียมเอกสารและสมัครกู้กับ ธอส. โดยตรง

  4. รอผลอนุมัติ และนัดโอนกรรมสิทธิ์กับกรมที่ดิน


✅ ข้อดีของโครงการบ้านล้านหลัง

  • ดอกเบี้ยต่ำ ช่วยให้ผ่อนสบายในช่วงเริ่มต้น

  • วงเงินไม่สูงมาก เหมาะกับผู้เริ่มต้นมีภาระ

  • ไม่ต้องมีเงินเดือนสูงก็สามารถมีบ้านได้

  • ผ่อนได้นานถึง 40 ปี → ทำให้ค่างวดต่ำ


⚠️ ข้อควรระวัง

  • บ้านราคาไม่เกิน 1.5 ล้าน → ทำเลอาจอยู่ชานเมือง / ต่างจังหวัด

  • เงื่อนไขมีการปรับเปลี่ยนตามช่วงเวลา → ควรติดตามข่าวจาก ธอส.

  • ต้องวางแผนรายได้รายจ่ายให้ดี เพราะยังมีภาระค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าซ่อมแซม


🏁 สรุป

โครงการบ้านล้านหลังของ ธอส. เป็นทางเลือกที่ดีมากสำหรับผู้ที่อยากมีบ้านหลังแรกแต่มีรายได้จำกัด
ด้วยเงื่อนไขที่ผ่อนสบาย ดอกเบี้ยต่ำ และไม่ต้องใช้เงินเดือนสูง ก็สามารถกู้ซื้อบ้านได้

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากเริ่มต้นมีบ้าน ควรติดตามประกาศรอบใหม่ของโครงการนี้ไว้ เพราะอาจเป็น “โอกาสทอง” ที่ทำให้คุณได้มีบ้านสมใจในงบที่จับต้องได้จริง

เลือกบ้านโครงการที่น่าสนใจติดต่อเรา : www.kudsanhome.com

S Kudsan Home

รับสร้างบ้าน สรรค์สร้างบ้านในฝัน พร้อมร่วมออกแบบ ความสวยงาม ฟั่งชั่นต่างๆของบ้าน ให้ตรงตามสไตน์

ช่องทางการติดต่อ

Facebook

ที่ตั้งสำนักงาน

©Skudsanhome. All rights reserved.